กฎแห่งความ “ไร้ระเบียบ”

กฎแห่งความ “ไร้ระเบียบ”

Author : คนรักบ้าน

ในท่ามกลางบรรยากาศความสับสนวุ่นวายของเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในปัจจุบันที่ดูเหมือนยากแก่การควบคุมและคาดเดาทิศทางของการขับเคลื่อนตัวไปในอนาคต แท้จริงแล้วในความสับสนมีความสงบนิ่งภายใต้กระแสคลื่นลมกรรโชกแรงที่พื้นผิว พอได้พิจารณาลงลึก ๆ ความรู้สึกที่ว่ากังวลก็ค่อยคลายกังวล ความรู้สึกที่สับสนก็ค่อยคลายความสับสน อีกทั้งยังเห็นความชัดเจนของการแปรเปลี่ยนไปกับการเคลื่อนตัวไปอย่าง “ไร้ระเบียบ” ของสังคมไทย หากพิจารณากันอย่างช้า ๆ ชัด ๆ 

ในเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้น ทำให้เห็นสัจแห่งธรรม(ชาติ)พื้นฐาน สมดังคำกล่าวที่ว่า “การเมืองเป็นเรื่องของการรักษาผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง อีกทั้งยังเป็นเรื่องของการประสานผลประโยชน์กับฝ่ายตรงข้าม” รวมไปถึงได้เรียนรู้ว่า “อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นเรื่องที่ล้าสมัย” จึงทำให้ผมกล้าฟันธงว่าในสังคมไทยโดยเนื้อแท้แล้วไม่มีทั้ง “ไพร่” แบบถาวรไม่มีทั้ง “อำมาตย์” แบบถาวรหรอกครับเพราะ “ไพร่” ก็สามารถกลายพันธ์เป็นมหา “อำมาตย์” มหาอำมาตย์ก็สามารถกลายพันธ์เป็น “ไพร่” สลับขั้วกันไปมา (ใครจะไปเชื่อครับว่าควานช้างจะกลายเป็นประธานรัฐสภา) 

ผมกลับคิดว่าในยุคนี้เป็นยุคทองของประชาธิปไตยแบบไทยอย่างแท้จริง ที่สิทธิและเสรีภาพเบ่งบานถึงขีดสุดยิ่งกว่ายุคสมัยใด ๆ แม้แต่ในยุคสุโขทัยที่มีการบันทึกในหลักศิลาจารึก ถึงสิทธิและเสรีภาพในการดำรงชีวิตว่า “ใครใคร่ค้าช้างค้า ม้าค้า” ภายใต้การปกครองของ “พ่อขุน” ที่ปกครองพสกนิกรแบบพ่อปกครองลูก มีอะไรก็ว่ากล่าวตักเตือนกันไป จะทำผิดมหันต์แค่ไหนก็ทรงพระเมตตา ในบางกรณีทรงพระราชทานอภัยโทษให้เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นอย่าแปลกใจนะครับว่าพสกนิกรชาวไทยในปัจจุบันมักจะกล่าวถึงพระเจ้าอยู่หัวว่า “พ่อหลวง” เมื่อหลักชัยอันเป็น “แกน” ของสังคมเป็นเช่นนี้ สังคมไทยถึงแม้จะเป็นสังคมแห่งความ “ไร้ระเบียบ” จึงกลายสภาพเป็นสังคมที่มีลักษณะสานประโยชน์ อะลุ่มอล่วยกัน เอื้ออาทรต่อกัน ถึงแม้จะเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันก็ไม่ถึงขนาดเข่นฆ่าจองล้างจองผลาญกัน (อาจจะมีความรุนแรงอยู่บ้างบางอารมณ์มาเป็นสีสัน แต่ลึก ๆ แล้วเราก็ให้อภัยกันครับ) 

จากกฎแห่งความ “ไร้ระเบียบ” ก็เลยเป็นผลให้มีเพื่อนสนิทมิตรสหายหลายคนกลายพันธ์จาก “เหลือง” เป็น “แดง” และอีกหลายคนก็กลายพันธ์จาก “แดง” เป็น “เหลือง” จะว่าไปแล้วก็เป็นเสน่ห์ครับของสังคม “ไร้ระเบียบ” ที่ไร้ซึ่งอุดมการณ์และจุดยืนที่แปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์ ความรู้สึกของกระแสสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ๆ เป็นผลให้สังคมไทยเป็นสังคมที่มีลักษณะเชื่อง่าย ชี้นำง่าย เกลียดง่าย รักง่าย (หน่ายเร็ว) อะไรต่ออะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายมากถึงง่ายที่สุด จึงเป็นสังคมที่มีทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งในตัวเอง ภายใต้กฎแห่ง “ความไร้ระเบียบ” ที่ยากจะหาสังคมใดเสมอเหมือน เป็นสังคมที่ยอมรับอะไรได้ง่าย มีไม่กี่ประเทศในโลกหรอกครับที่พูดคำว่า “ไม่เป็นไร” กับทุก ๆ สถานการณ์ไม่ว่าจะคับขันมากแค่ไหน 

วัฒนธรรมทางความคิดที่มีลักษณะเฉพาะตนเช่นนี้แหละครับเป็นสิ่งที่มีความหมายมากนะครับ เพราะเมื่อตั้งต้นที่ “ไม่เป็นไร” แล้วจะสุขหรือทุกข์หนักหนาแสนสาหัสสักเพียงใดก็ “ไม่เป็นไร” ทำให้สังคมไทยสามารถผ่านอะไรต่อมิอะไรไปได้ ก็เพราะความ “ไม่เป็นไร” นี้แหละครับ เป็นทั้งจุดอ่อนจุดแข็งของสังคมไทย เป็นทั้งเสน่ห์และไร้เสน่ห์ ก็เพราะเราอยู่กันมาอย่างนี้ ก็เลยทำให้สังคมไทย “ไม่เป็นไร” จะหนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ “ไม่เป็นไร” เพราะที่สุดแล้วอย่างไรเราก็จะก้าวข้ามปัญหาอุปสรรคได้เสมอ (แต่ห้ามถามนะครับว่าบอบช้ำมากน้อยแค่ไหน)

ในมุมมองของผมความขัดแย้งทางด้านการเมืองที่ “ไร้ระเบียบ“ในครั้งนี้เป็นปรากฎการณ์ที่ “สานประโยชน์” และ “สร้างประโยชน์” ให้กับทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล เป็นเกมส์การเมืองที่ส่งผลให้ทุกฝ่ายเบิกบานด้วยความสุขและสมหวัง ไม่ว่าจะเป็นการประท้วงที่ก่อให้เกิดเงินสะพัดไปทั่วประเทศ ในช่วงที่ชาวไร่ชาวนาต่างจังหวัดว่างจากงาน อยู่บ้านไปก็ไม่มีรายได้อะไร มีโอกาสเดินทางมาเที่ยวกรุงเทพฯ อีกทั้งบรรดา ส.ส. อดีต ส.ส.และว่าที่ส.ส.ก็ต่างเบิกบาน เป็นการทดสอบหัวคะแนนและเครือข่ายในการกะเกณฑ์ผู้คน เป็นมวลชนจัดตั้ง อีกทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมการเลือกตั้งครั้งใหม่ 

ที่ผมคาดว่าอย่างเร็วที่สุดน่าจะเป็นปลายปีนี้หรืออาจจะลากยาวไปปีหน้า ไม่มีการยุบสภาเลือกตั้งเป็นอันขาด เพราะยังมีอีกหลายโครงการที่มีมูลค่ารวมกันนับแสนล้านยังไม่มีการเซ็นต์สัญญาว่าจ้าง จัดจ้าง ท่านนายกฯ ก็เบิกบาน ได้รับความชื่นชมในความอดทนอดกลั้น ขนาดถูกล้อมบ้านก็แล้ว ถูกปาอึใส่บ้านก็แล้วก็ยังยิ้มได้ ท่านอดีตนายกฯ ที่อยู่ต่างประเทศก็เบิกบาน เพราะว่ามีกองเชียร์หนาแน่น รวมทั้งหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ กลับพุ่งขึ้นอย่างสวนกระแสแบบยิ่งประท้วงหุ้นก็ยิ่งขึ้น รับอานิสงส์เต็ม ๆ จากการประท้วงในครั้งนี้ 

ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลก็ต่างมีความสุข เบิกบานอยู่ร่วมกันอย่างแน่นแฟ้น ประกาศสนับสนุนและยืนหยัดอยู่ร่วมกัน คงอีกสักพักใหญ่แหละครับ (อย่างน้อยก็ยังอยู่ร่วมกันจนกว่า “งบไทยเข้มแข็ง” ได้ถูกใช้จ่ายจัดสรรกันไปเรียบร้อย) อีกทั้งผู้นำการประท้วงก็เบิกบานเพราะต้องบริหารจัดการกับเงินที่ถูกบริจาคโดยผู้สนับสนุน นอกจากเงินบริจาคแล้วก็ยังมีการบริจาคโลหิตร่วมกันและนำมาละเลงปฐพีร่วมกัน นอกจากนั้นก็ยังประกาศแนวทางการประท้วงอย่าง “สันติวิธี” ภายใต้หลัก “อหิงสา” แบบไทยที่ไม่เหมือนใครในโลก ดูไปดูมาทุกฝ่ายก็ต่างเบิกบาน “สานประโยชน์” กันภายใต้กฎแห่งความ “ไร้ระเบียบ” อันเป็นเอกลักษณ์ของสังคมไทย ดังนั้นหากจะพยายามทำความเข้าใจการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าของเศรษฐกิจ,สังคม และการเมืองไทย ห้ามคิดวิเคราะห์แบบสมการชั้นเดียวเป็นอันขาดครับ

Source : http://www.homeloverthai.com/index.php?option=com_content&task=view&id=1353&Itemid=104

‘ส.ศิวรักษ์’แนะคนไทยหลังปฏิรูป อย่าหวังผลเลิศอย่าหวังผลร้าย

‘ส.ศิวรักษ์’แนะคนไทยหลังปฏิรูป อย่าหวังผลเลิศอย่าหวังผลร้าย

Author : ภาณุพล รักแต่งาม

แอลเอ (ไทยทาวน์ยูเอสเอนิวส์) : ‘ส.ศิวรักษ์’ ชี้รัฐบาลใหม่ไม่น่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทย เพราะ ครม. ยังเป็นคนในกระแสหลัก แนะรัฐบาลใหม่ควรฟังเสียงประชาชนให้มาก หาไม่จะวนเวียนกลับเข้าสู่รูปเก่า ชี้นายกฯ ใหม่ถอดใจตั้งแต่ยังไม่เริ่มงาน เพราะอ้างมีเวลาหนึ่งปีจะทำอะไรได้

อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส. ศิวรักษ์ นักวิชาการชื่อดังของไทย ซึ่งเดินทางมาบรรยายเกี่ยวกับพุทธศาสนาเนื่องในโอกาสครบรอบร้อยปีท่านพุทธทาสภิกขุ ที่โคโรลาโดคอลเลจ, มหาวิทยาลัยนาโรปะ ในรัฐโคโรลาโด และที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยได้เปิดแสดงปาฐกถาในลอส แอนเจลิส ที่โรงเรียนอนุบาล ดร.ผดิษฐา อายนบุตร เมื่อค่ำวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา

อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ปฏิรูปการเมืองของไทยโดยคณะทหารว่า ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงที่คนกำลังเห่อ แต่หากไม่มีผลงานใดๆ ในระยะอันไกลก็จะถูกประชาชนด่า เหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับคณะรัฐประหารในอดีต อีกทั้งระบุว่า แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีสมควรที่จะออกจากตำแหน่ง เพราะไม่มีความโปร่งใส แต่ก็ควรจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่าการทำปฏิวัติยึดอำนาจ

“เอาล่ะ ยึดอำนาจแล้ว ก็น่าจะใช้สติปัญญาในการยึดอำนาจมากกว่านี้ เช่นงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ปรับปรุงรัฐธรรมนูญ นี่ให้ร่างใหม่กันหมดแล้ว ยุบหมดเลย สภายุบหมด นี่แสดงว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่นี่ครับ ระยะแรกก็เชียร์กันครับ ใส่เสื้อเหลืองเอาดอกไม้ไปให้ ก็ดีครับ เล่นละครกัน แต่ผมอยากจะเตือนนะครับอีกพักเดียวคนก็จะเอือม คนก็จะเบื่อ ผมเตือนด้วยความหวังดี ถ้าไม่พอใจ ผมกลับไปวันที่ 26-27 ก็ไปจับผมได้ ไม่หนี ให้จับครับ” นักวิชาการที่ได้ชื่อว่าเป็นคนตรง กล้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมากล่าวอย่างอารมณ์ดี

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลใหม่ที่มีการจัดตั้งขึ้นมา จะทำให้เกิดผลดีอะไรกับประเทศบ้าง นักวิชาการเจ้าของฉายาปราชญ์สยามกล่าวว่า เป็นเรื่องยาก เพราะนายกรัฐมนตรีบอกว่ามีเวลาทำงานแค่หนึ่งปี เหมือนถอดใจตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำงาน

“ท่านนายกฯ ท่านบอกมาปีเดียวจะทำไรได้ ถ้าพูดอย่างนี้คุณก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อรัฐบาลอังกฤษจะให้เอกราชอินเดียนั้น ได้ส่งหลอดหลุยส์ไป ให้เวลาหนึ่งปี ให้ทำให้สำเร็จ ให้อำนาจเต็มที่ ก็ทำได้สำเร็จ นี่อะไร อำนาจก็มีเต็มที่ ยังหยอยๆ อย่างนี้หรือจะทำได้สำเร็จ คณะรัฐมนตรีที่ตั้งอยู่นี่ ส่วนใหญ่กึ่งดิบกึ่งดีทั้งนั้น ทำอะไรได้”

นักวิชาการชื่อดังกล่าวอีกว่า คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ ส่วนใหญ่เป็นคนในกระแสหลัก ซึ่งไม่ค่อยฟังเสียงนอกกระแส

“บ้านเมืองเราตอนนี้มันเปลี่ยนไปมาก ที่มันเปลี่ยนแปลงได้เพราะประชาชนเป็นแสนๆ ทั่วทุกจังหวัดออกมาไล่ทักษิณ แต่คนเหล่านี้กลับไม่ได้รับการเหลียวแลเลย มีแต่เอาพวกขุนนางเก่าๆ พวกปลัดกระทรวงเก่าบ้างมาเป็นรัฐมนตรี พวกนี้ไม่เคยฟังใคร จะไปทำอะไรได้ คุณสุรยุทธ์เป็นคนน่ารักครับ แต่ผมว่าควรไปบวชมากกว่าจะมาเป็นนายกฯ”

อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้กล่าวถึงนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทยต่อไปว่า เป็นชาวพุทธที่น่ารัก และซื่อสัตย์ “เมื่อท่านเป็นแม่ทัพ คุมกองทัพให้ลดการโกงกินไปมาก ตัวท่านเองเป็นผู้บริสุทธิ์ เกษียณแล้วก็ไปบวช แต่คนที่ถือพุทธแบบนี้ ไปเข้าใจว่าการถือพุทธให้ตัวเองเป็นคนดี ซื่อ ไม่โกงกิน เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ถ้าเข้าใจศาสนาพุทธแล้ว ตัวศีลนั้น ไม่ใช่เป็นคนดีอย่างเดียว ศีลแปลว่าปกติ แต่ละคนต้องปกติ สังคมต้องปกติ ช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนต้องลดลง อภิสิทธิต่างๆ จะต้องหมดไป คนชั้นปกครองทุกระบบ ตั้งแต่สูงสุดลงมาถึงต่ำสุดจะต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ คนข้างบนจะต้องเคารพคนข้างล่าง ไม่ใช่ดูถูก ถ้าเนื้อหาสาระไม่กลับมา ไม่มีทางเป็นประชาธิปไตย…. ท่านนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เรียนด้วยความเคารพนะครับ ท่านไม่เข้าใจประเด็นนี้ ขึ้นมาจนกระทั่งถึงพลเอก ก็เลยนึกว่าพลเอกต้องใหญ่กว่าพลทหาร จ้าวต้องสูงกว่าไพร่ ผมว่าความคิดนี้หมดสมัยไปแล้ว”

นักวิชาการชื่อดังกล่าวด้วยว่า หากมีการประยุกต์เอาเนื้อหาสาระของพุทธศาสนาเข้าไปมาใช้ในระบอบการเมือง ก็จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์

“แก่นของพุทธ ใช้ได้กับทุกศาสนาและใช้ได้กับทางการเมือง สังคม เพราะเนื้อหาศาสนาพุทธ ฝึกให้ทุกคนเปลี่ยนความโลภเป็นทาน ความงกเป็นการให้ เปลี่ยนความรุนแรงโทสะเป็นเมตตากรุณา เปลี่ยนความหลงชาติ หลงตัว อะไรก็ตามให้เป็นความเข้าใจ เป็นปัญญา เนื้อหาสาระของศาสนาอื่นก็เช่นเดียวกัน แต่ใช้ภาษาต่างกัน เอาธรรมะมาประยุกต์ใช้ พุทธแปลว่าตื่น ตื่นจากโลภโกรธหลง ถ้าใช้เป็นพื้นฐานแล้ว มันจะช่วยทุกคนตื่น ทุกคนมีความภูมิใจ มีความเคารพซึ่งกันและกัน”

ในประเด็นการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ส.ศิวรักษ์ กล่าวว่าจะร่างใหม่ให้สวยหรูอย่างไรก็ตาม หากไม่พัฒนาคน ก็จะไม่มีประโยชน์

“รัฐธรรมนูญฉบับที่แล้วก็ดีพอสมควร แต่ว่าคนใช้จุดอ่อนของรัฐธรรมนูญนี่ อย่างทักษิณนี่ชัดเจน เพราะเขาเชื่อว่าเขาสามารถใช้เงินและอำนาจซื้อได้ และที่น่าเสียใจกว่านั้นก็คือคนของเราซื้อได้แทบทุกแห่ง ทุกสถาบัน สำนักงานอัยการก็ถูกซื้อ ศาลรัฐธรรมนูญก็ถูกซื้อ วุฒิสภา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการเลือกตั้งก็ถูกซื้อ การแก้ก็ต้องกำหนดว่าทำไงถึงจะทำให้คนของเราเลิกถูกซื้อได้ นี่ผมไม่ได้พูดในทางนามธรรม ในทางอุดมคติ เป็นไปได้นะครับ แต่รัฐบาลชุดนี้ทำไม่ได้ เพราะรัฐบาลชุดนี้เต็มไปด้วยคนในระบบ มองอยู่แค่ในระบบ ไม่รู้ว่าระบบของตัวเองคือตัวสร้างความสับสนไขว้เขวให้กับบ้านเมืองตลอดเวลา ถ้าจะร่างรัฐธรรมนูญ ต้องมองไปนอกระบบ คนนอกระบบก็ตื่นขึ้นมามากแล้วครับ คนจนที่เคยถูกเหยียดหยามว่าโง่เขลาเบาปัญญา เขาตั้งสมัชชาคนจน มีสมาชิกหลายล้าน คนเหล่านี้เขาสามารถยืนหยัดท้าทายคนข้างบนครับ”

อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่คนไทยจะทำได้ในสภาพเช่นนี้ คือ จะต้องยอมรับความจริง เพราะตนไม่เห็นว่าจะมีใครใน ครม.ชุดนี้ กล้าหาญพอจะแหวกออกจาก ‘สภาพน้ำนิ่ง-น้ำเน่า’ ออกมาได้ และฝากสื่อมวลชนด้วยว่า ให้พยายามติชมรัฐบาลใหม่ในเชิงสร้างสรรค์

“พยายามชี้แนะ อย่าไปโจมตีในทางทำลายล้าง เขาจะเสียกำลังใจ เมื่อเสียแล้วเขามีคณะปฏิรูปอยู่หลังเขา เขารังแกได้ทันทีเลย ผมว่าเราอย่าเป็นศัตรูกันดีกว่า เตือนกันด้วยความหวังดีนะครับ อาจจะต้องใช้ถ้อยคำที่เพราะกว่าที่ผมใช้หน่อยหนึ่ง เขาจะได้ฟัง อย่างผมเขาไม่ฟังอยู่แล้ว ไอ้ตาแก่นี่พูดมาก”

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวถามถึงนางชะบา จตุรบุล ซึ่งเป็นศิษย์ของ อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ แต่ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนรัฐบาลพรรคไทยรักไทยอย่างเต็มตัว และอ.สุลักษณ์เคยเขียนจดหมายติติงศิษย์จนเป็นข่าวฮือฮาในชุมชนไทยมาแล้วนั้น อ.สุลักษณ์กล่าวว่า ตนไม่ขอพูดอะไรมาก เพราะแต่ละคนก็มีสิทธิ์ที่จะทำในสิ่งที่ตนเชื่อ

“ผมไม่ว่าใคร เขาก็เลี้ยงข้าวผมเมื่อคืน คนเรามันเห็นไม่เหมือนกันได้นี่ครับ จะถือพุทธ ถือคริสต์ เป็นคอมมิวนิสต์ ก็ได้ ได้ข้อมูลมาเท่าไหนก็ทำไปเท่านั้น แต่ผมเชื่อว่าเขาเป็นคนบริสุทธิ์ ถามว่าคุยอะไรกันเหรอ ก็คุยกันส่วนตัว” นักวิชาการชื่อดังกล่าว

สันติสุขในมือเรา

สันติสุขในมือเรา

Author : พระไพศาล วิสาโล

สถานการณ์บ้านเมืองที่ขัดแย้งยืดเยื้อนานหลายเดือนทำให้ผู้คนเป็นอันมากรู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง สาเหตุไม่ได้เป็นเพราะว่ามองไม่เห็นทางออกของบ้านเมืองเท่านั้น หากยังเป็นเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้บ้างในสถานการณ์อย่างนี้ นอกเหนือจากการนิ่งเฉยหรือเข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ที่จริงมีมากมายหลายอย่างที่เราแต่ละคนสามารถทำได้ ไม่ว่าจะอยู่กับฝ่ายใด หรือไม่สังกัดฝ่ายใดเลยก็ตาม อย่างแรกที่สุดและน่าจะง่ายที่สุดก็คือ รักษาใจให้เป็นปกติ ถ้าเรายังทำอะไรกับใจของเราไม่ได้ จะไปเรียกร้องคาดหวังให้บ้านเมืองเป็นไปดั่งใจของเราได้อย่างไร

ความทุกข์ของผู้คนทุกวันนี้เกิดจากการปล่อยให้ความเครียด ความกังวล ความกลัว-เกลียด-โกรธ ครอบงำใจ เริ่มตั้งแต่เช้า พอตื่นขึ้นมาก็เครียดแล้วเมื่อได้ดูข่าวโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือพิมพ์ แต่ขอให้สังเกตว่าเราจะเครียดและขุ่นเคืองใจก็ต่อเมื่อได้ฟังคำพูดของคนที่คิดต่างจากเรา หรือรับรู้การกระทำของคนที่อยู่คนละฝ่ายกับเรา ที่จริงถ้าเราเดาล่วงหน้าได้ว่าเขาจะพูดหรือทำอะไร เราก็คงไม่ทุกข์ แต่เป็นเพราะเราคาดหวังบางสิ่งบางอย่างจากเขา ครั้นเขาไม่พูดหรือทำตามความคาดหวังของเรา เราจึงไม่พอใจ ปัญหาจึงอยู่ที่ใจของเราเองที่ตั้งความคาดหวังเกินเลยจากความเป็นจริง หรือหวังในสิ่งที่มิใช่วิสัยของเขา วางความคาดหวังเสีย ยอมรับเขาตามที่เป็นจริง เราจะฟังเขาด้วยความรู้สึกธรรมดามากขึ้น

ถ้าคุณห้ามใจไม่ได้ ยังเครียดหรือโกรธคนเหล่านั้นอยู่ ก็ไม่ควรแบกความเครียดติดตัวไปด้วย เครียดตรงไหน วางตรงนั้น อย่าเอาไปที่ทำงาน หรือถ้าเครียดตอนอยู่ที่ทำงาน ก็วางไว้ในที่ทำงาน อย่าแบกกลับบ้านไป เวลากิน ก็อย่าไปคิดถึงคนเหล่านั้น กินให้มีความสุข เวลาทำงานก็อยู่กับงานของตนอย่างมีสติและสมาธิ อย่าเอาคนเหล่านั้นมาคิดนึกให้เสียอารมณ์ เวลานอนก็นอนให้สบาย จะคิดถึงคนเหล่านั้นไปทำไม แต่ถ้ายังคิดอยู่จนนอนไม่หลับ จะโทษใครดี

หลายคนบอกว่าอย่าว่าแต่ฟังเสียงเลย แค่เห็นหน้าคนบางคนทางโทรทัศน์ก็โมโหแล้ว นั่นเพราะเรามีความโกรธเกลียดเขาเต็มที่ และที่โกรธเกลียดก็เพราะเขาอยู่คนละฝ่ายกับเรา เป็นศัตรูของเรา แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่าวันข้างหน้าคนเหล่านั้นอาจกลับมาอยู่ฝ่ายเดียวกับคุณ

“ศัตรู”ที่เคยอยู่คนละข้างก่อนและหลังเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๑๙ วันนี้ได้กลับมาเป็นเพื่อนร่วมพรรคร่วมอุดมการณ์กันอย่างเหนียวแน่น ขณะที่เพื่อนร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้รัฐบาลเมื่อ ๓๐ ปีก่อน วันนี้กลับมาอยู่คนละฝ่าย ดังนั้นคุณแน่ใจอย่างไรว่า “ศัตรู”ของคุณวันนี้จะไม่กลายมาเป็นเพื่อนของคุณในวันหน้า และคุณแน่ใจได้อย่างไรว่าผู้นำของคุณวันนี้ จะไม่กลายเป็นปรปักษ์หรืออยู่คนละฝ่ายกับคุณใน ๕ หรือ ๑๐ ปีข้างหน้า

ลองหยุดคิด แล้วจินตนาการถึงความเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้า แล้วคุณอาจพบว่าการต่อสู้ด้วยความเกลียดชังและมุ่งโค่นล้มทำลายอีกฝ่ายให้พินาศนั้น เป็นสิ่งที่คุณควรทุ่มเทอย่างเอาเป็นเอาตายหรือไม่
ลองมองไกล ใจคุณอาจจะเปิดกว้างยอมรับความเห็นต่างได้มากขึ้น อย่างน้อยก็คงได้ตระหนักว่าความเป็นมิตรและความเป็นศัตรูนั้นหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ความเป็นฝักฝ่ายก็เช่นกัน จะเอาจริงเอาจังกับมันไม่ได้เลย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความกลัว-เกลียด-โกรธ กับความเป็นฝักฝ่ายนั้นแยกจากกันไม่ออก ยิ่งประจันหน้ากับคนที่อยู่คนละฝ่ายกับตัว ความกลัว-เกลียด-โกรธก็ถูกกระตุ้นให้พลุ่งพล่านใจ และยิ่งกลัว-เกลียด-โกรธมากเท่าไร ก็ยิ่งแบ่งฝักฝ่ายกันอย่างโจ่งแจ้งชัดเจนและผลักกันให้อยู่ไกลขึ้น จนไม่สามารถคุยกันได้ เพราะหวาดระแวงกันและเห็นซึ่งกันและกันเป็นศัตรูที่เลวร้าย

เมื่อใดก็ตามที่ความกลัว-เกลียด-โกรธ ลุกลามจนเกิดการแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน ถึงขั้นเป็นศัตรูกัน เมื่อนั้นชัยชนะหรือความพ่ายแพ้กลายเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด ขณะที่ความถูกต้องหรือเหตุผลมีความหมายน้อยลง ทำอะไรก็ได้ขอให้ชนะเป็นพอ เสียอะไรก็เสียได้แต่อย่าให้แพ้ก็แล้วกัน

เริ่มแรกการต่อสู้อาจมีจุดมุ่งหมายเพื่อประเทศชาติ หรือเพื่อความถูกต้อง แต่เมื่อกลัว-เกลียด-โกรธกันอย่างที่สุดแล้ว การทำลายอีกฝ่ายให้พินาศกลายมาเป็นจุดหมายสำคัญที่สุด ถึงตรงนี้การพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ ก็อาจลงเอยด้วยความวิบัติของบ้านเมือง

เมื่อรู้ว่าหนูเข้ามาทำรังในบ้านและกัดแทะข้าวของเครื่องใช้ เจ้าของผู้รักบ้านย่อมไม่อยู่นิ่งเฉย ต้องหาทางจับหนูตัวนั้นมาให้ได้ แต่หนูตัวนั้นก็ฉลาดมาก ไม่เคยหลงติดกับดัก แม้ใช้กาวดักหนู ก็ไม่เป็นผล พยายามเท่าไรก็ไม่เคยสำเร็จ ขณะที่ข้าวของเสียหายจากฝีมือหนูมากขึ้น เพราะหนูออกลูกออกหลานมากขึ้น จึงอาละวาดเป็นการใหญ่ วันหนึ่งเจ้าของบ้านพบว่าหนูกัดสายไฟ จนทำให้ระบบควบคุมไฟถึงกับล่ม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายชิ้นใช้การไม่ได้ เสียเงินซ่อมมากมาย เจ้าของบ้านโกรธมาก ทีนี้เขาคิดแต่จะเข่นฆ่าหนูตัวนี้สถานเดียว จะยอมให้มันอาละวาดต่อไปอีกไม่ได้ เมื่อใช้ทุกวิถีแล้วไม่ได้ผล วันหนึ่งเขาก็เอาน้ำมันก๊าดฉีดพ่นเข้าไปในรังและจุดไฟ หวังจะฆ่ามันให้สิ้นซาก ผลก็คือหนูตายแต่บ้านเขาก็เสียหายจนเกือบวายวอดไปด้วย

ทีแรกเขาต้องการกำจัดหนูเพื่อรักษาบ้าน แต่เมื่อการกำจัดหนูลุกลามกลายเป็นสงครามระหว่างเขากับหนู ความต้องการเอาชนะหนูกลายเรื่องสำคัญที่สุดของเขาจนลืมนึกถึงบ้าน สุดท้ายกลายเป็นว่าเขาทำลายบ้านเพื่อกำจัดหนู มิใช่กำจัดหนูเพื่อรักษาบ้านอีกต่อไป

เมื่อใดก็ตามที่เรามีความกลัว-เกลียด-โกรธอย่างขีดสุด ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร จากการทำลายอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อรักษาบ้านเมืองไว้ ก็อาจกลายเป็นการทำลายบ้านเมืองเพื่อกำจัดอีกฝ่ายหนึ่งให้ได้ ทั้งหมดนี้ก็เพราะการอยากเอาชนะให้ได้เป็นสำคัญ

ด้วยเหตุนี้การรักษาใจมิให้ความกลัว-เกลียด-โกรธ ครอบงำจึงเป็นสิ่งสำคัญ แม้จะเป็นการเริ่มต้นในระดับบุคคลก็ตาม จริงอยู่การทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็สามารถทำได้หากเริ่มต้นจากการตระหนักเห็นโทษของความกลัว-เกลียด-โกรธ มันไม่เพียงทำให้เราทุกข์เท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้เรากลายเป็นตัวปัญหา หรือก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นได้ ใช่หรือไม่ว่าขณะนี้แต่ละคนเสมือนมีไม้ขีดไฟอยู่ในมือ ที่พร้อมจะเผาตัวเองและคนรอบข้าง ตลอดจนบ้านเมืองให้พินาศได้ เพราะทุกหนแห่งราวกับอบอวลด้วยไอน้ำมัน พร้อมจะลุกเป็นไฟได้ทุกเวลา

ในยามนี้เพียงแค่ทำตัวเองไม่ให้รุ่มร้อน วุ่นวาย ก็เป็นการช่วยเหลือบ้านเมืองแล้ว อย่างน้อยก็ช่วยไม่ให้มันเลวร้ายไปกว่านี้ เมื่อเรือเล็กเกิดรั่วขึ้นมา การอยู่นิ่งเฉย อาจก่อผลดีกว่าการแตกตื่นวุ่นวายหรือพากันกรูไปอุดรูด้วยความตื่นตระหนก เพราะนั่นอาจทำให้เรือโคลงถึงกับล่มได้

แต่จะดียิ่งกว่านี้ หากเราไม่เพียงรักษาใจตัวเองให้ปกติเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้อื่นหายรุ่มร้อนวุ่นวายไปด้วย ที่จริงเพียงแค่เรามีความสงบเย็น ก็สามารถช่วยให้ผู้ที่อยู่รอบข้างสงบเย็นตามไปด้วย เขาจะบ่นอย่างไร ก็นั่งฟังด้วยความสงบ และเตือนสติเขาบ้างตามโอกาส กับช่วยให้เขามองในแง่มุมอื่นบ้าง

เมื่อช่วยรักษาใจผู้อื่นให้สงบเย็นได้แล้ว หากมีกำลังก็ควรรวมกันชักชวนผู้คนให้ลดละความกลัว-เกลียด-โกรธลงบ้าง ยับยั้งชั่งใจให้มากขึ้นในการใช้ความรุนแรงทางวาจาและการกระทำ ทุกวันนี้เสียงแห่งความกลัว-เกลียด-โกรธดังมากเกินไปแล้ว เราควรช่วยกันเปล่งเสียงแห่งขันติธรรม คือความอดกลั้นต่ออารมณ์และความใจกว้างต่อผู้ที่เห็นต่าง ให้ดังกว่านี้ รวมทั้งช่วยกันป้องกันและยับยั้งความรุนแรงจากทุกฝ่าย

แม้ทุกฝ่ายจะไม่ยอมถอยคนละก้าว แต่อย่างน้อยก็ควรช่วยกันจำกัดขอบเขตแห่งความขัดแย้งไม่ให้ลุกลามจนกลายเป็นการใช้กำลังต่อกัน ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใด หรือไม่อยู่ฝ่ายใดเลย ก็ควรช่วยกันผลักดันให้ความขัดแย้งหรือการทะเลาะกันเป็นไปอย่างอารยะ คือใช้เหตุผล หรือถึงจะมีอารมณ์ ก็อย่าระเบิดเป็นความรุนแรง ตราบใดที่ไม่มีการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อ โอกาสที่ความขัดแย้งจะคลี่คลายไปในทางสันติก็มีมากขึ้น

อย่างไรก็ตามพึงตระหนักไว้เสมอว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้จะไม่หายไปในเร็ววัน เพราะนี่ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มบุคคลที่ปรากฏเป็นข่าว แต่เป็นความขัดแย้งที่ลึกและกว้างขวางกว่านั้นมาก ดังที่มีผู้รู้บางท่านชี้ว่าความขัดแย้งระหว่างพันธมิตร ฯ กับพลังประชาชน เป็นตัวแทนของความขัดแย้งระหว่างคนชั้นกลางในเขตเมืองกับคนชั้นกลางระดับล่างในชนบท หรือระหว่างคนชั้นกลางในเมืองกับนายทุนที่เชื่อมต่อกับพลังโลกาภิวัตน์ร่วมกับคนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบท ซึ่งแต่ละฝ่ายมีคนนับสิบล้าน มองในแง่หนึ่งนี้คือความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์สองแบบ หรือการเมืองสองระบอบ ซึ่งสะท้อนจากการเรียกร้องต้องการรัฐบาลคนละแบบ

ความขัดแย้งแบบนี้จะคลี่คลายไปได้ก็ต่อเมื่อมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือความสัมพันธ์ทางอำนาจ จนเป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย การปฏิวัติ ๒๔๗๕ เหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ และพฤษภาทมิฬ ๓๕ ล้วนเป็นผลจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชนในสังคมไทย ซึ่งกว่าจะคลี่คลายได้ต้องใช้เวลานับสิบปี และต้องผ่านความขัดแย้งถึงขั้นใช้กำลังและความรุนแรง

แต่ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างไม่จำต้องจบลงด้วยการนองเลือด หากผู้คนในสังคมใช้สติและปัญญา มองเห็นรากเหง้าของปัญหาที่ใหญ่กว่าตัวบุคคล และไม่ใจเร็วด่วนได้ โดยคิดว่าถ้ามีความรุนแรงเกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างจะยุติ ในยามนี้ธรรมาธิปไตยเป็นสิ่งสำคัญมาก นั่นคือการถือธรรมเป็นใหญ่ คำนึงถึงความถูกต้องยิ่งกว่าความถูกใจ และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยไม่คิดแต่จะเอาใจตน หรือมุ่งชัยชนะอย่างเดียว นี้คือสิ่งที่เราควรบ่มเพาะขึ้นในจิตใจและช่วยกันปลูกฝังให้เจริญงอกงามในสังคมไทย พร้อมกับสร้างกลไกเพื่อให้ความขัดแย้งคลี่คลายอย่างสันติ ด้วยวิธีดังกล่าวเท่านั้นสังคมไทยจึงจะผ่านพ้นวิกฤตไปได้โดยไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อ

Source : มติชนรายวัน วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11152

80 ปี ปิยาจารย์สยาม

80 ปี ปิยาจารย์สยาม

ขอขอบคุณ คุณศิวกานท์ ปทุมสูติ

ระลึกถึงครูครั้งคราใด

ก็เห็นยิ้มละไมใสสว่าง

ได้ยินเสียงกังวานอันปล่อยวาง

เปรื่องปร่างปรัชญาวิวาทกรรม

แถวบรรทัดอักษรสัจศิลป์

ตระหง่านขึ้นในพิณภูผาร่ำ

อุโฆษแห่งระฆังดุลยธรรม

คูณค้ำแก่นแท้ความเป็นไทย

แปลบปลาบอารมณ์แห่งคมขวาน

สะเทือนสะท้านผู้สาไถย

อาทรอ่อนโยนดุจป่านใย

เมตตาดังดอกไม้หอมใจชน

 

ระลึกถึงครูทุกคราครั้ง

ที่สังคมขาดพลังจิตตกหล่น

ไร้สำเหนียกเรียกสำนึกปลุกมณฑล

ให้ตื่นขึ้นในตนในตัวเอง

แปดสิบปีมิเปลืองเปล่าใจปราชญ์

แก้วธาตุอริยธรรมนำพิศเพ่ง

ครูคือผู้ปักธงไม่โคลงเคลง

รักจึงเร่งต่อธงไม่โคลงคลอน

เสาหินแห่งปัญญาสยามประเทศ

ด้วยเหตุอันใดไม่ผุกร่อน

ด้วยเหตุเดียวกันนิรันดร

กาพย์กลอนแห่งข้าคารวะครู

“พฤติกรรมไร้ศีลธรรม” และนัยต่อการกำกับดูแล

"พฤติกรรมไร้ศีลธรรม" และนัยต่อการกำกับดูแล

Author : สฤณี อาชวานันทกุล

หลายปีมานี้ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ได้ยินแต่เสียงบ่น โดยเฉพาะจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่ผู้เขียนนับถือว่า สังคมไทยทุกวันนี้ทุกวงการมีแต่คนขาดจรรยาบรรณ

ไร้ศีลธรรมจนไม่รู้ว่า “มาตรฐานวิชาชีพ” อยู่ตรงไหน ตั้งแต่โฆษณา สื่อ ธุรกิจ ตลาดทุนตลาดเงินก็ไม่เว้น ซ้ำร้ายกรณีอื้อฉาวหลายเรื่องที่คุยกันให้แซดในวงการ ควรจะเป็นข่าวพาดหัวในสื่อกระแสหลักกลับไม่เป็นข่าว ผู้เขียนคิดว่าสาเหตุหลักข้อหนึ่ง คือ จรรยาบรรณในวงการสื่อเองก็อ่อนแอปวกเปียกไม่แพ้จรรยาบรรณในวงการที่เกิดเรื่อง นักข่าวหลายคนมีบริษัทประชาสัมพันธ์ (พีอาร์) ของตัวเอง ทำงานพีอาร์เพื่อ “แหล่งข่าว” เป็นสรณะจนไม่อาจเขียน “ข่าว” ที่เป็นอิสระและรอบด้านตามมาตรฐานวิชาชีพได้อีกต่อไป เรื่องใหญ่แบบนี้ไม่เห็นสมาคมวิชาชีพจะทำอะไรได้กี่มากน้อย

ผู้ดำเนินนโยบาย เจ้าหน้าที่รัฐ สื่อมวลชน และเราๆ ท่านๆ มักจะให้ความสำคัญกับกรณีคอร์รัปชันที่คนทำตั้งใจทุจริตจริงๆ หรือไม่ก็ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจนเกิดความเสียหาย แต่งานวิจัยร่วมสมัยของนักจิตวิทยาศีลธรรม (behavioral ethics) พบว่าพฤติกรรมผิดศีลธรรมที่คนเราทำในชีวิตประจำวัน เวลาเข้าสังคมหรือในที่ทำงานนั้นส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากความจงใจที่จะทุจริต แต่เกิดจากการ “หลอกตัวเองโดยไม่รู้สึกตัว” มากกว่า

จากการศึกษาของนักจิตวิทยาศีลธรรมพบว่า คนเราบิดเบือนกฎเพื่อช่วยเพื่อนร่วมงาน หรือแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นข้อมูลที่อาจทำให้ลูกค้าเสียชื่อเสียง ทั้งที่ข้อมูลนั้นเป็นข้อเท็จจริงซึ่งทำให้ประชาชนเสียหายมากกว่าชื่อเสียงที่ลูกค้าเสีย เราทำอย่างนั้นเพราะมันช่วยบรรลุเป้าหมายอะไรบางอย่าง ซึ่งอาจไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัวล้วนๆ ด้วย ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เรายุ่งอยู่กับการทำงานให้ได้ยอดตามเป้า หรือแม้แต่ใช้ข้อมูลภายในหรือปั่นหุ้นหาเงินไปบริจาคให้กับวัดที่ตัวเองชอบ นัยทางศีลธรรมของการตัดสินใจสำคัญๆ ของเราอาจพร่าเลือนจากสติสัมปชัญญะ พอพร่าเลือนแล้วเราก็เลยประพฤติหรือยอมให้คนอื่นประพฤติในทางที่ปกติเราจะประณามหยามเหยียด

ลักษณะทางจิตวิทยาที่ว่านี้ตอบคำถามว่าเหตุใดความย่อหย่อนทางศีลธรรมแทบทุกวงการจึงดูแพร่หลายและฝังลึก นอกจากนี้ มันยังช่วยอธิบายว่าทำไมมาตรการลงโทษอย่างเช่นการบัญญัติค่าปรับหรือโทษจำคุกถึงอาจส่งผลตรงกันข้ามกับเจตนา นั่นคือ ทำให้คนประพฤติตนในทางที่ไม่พึงประสงค์มากขึ้น แทนที่จะน้อยลง การทดลองครั้งหนึ่งในปี 1999 ขอให้ผู้เข้าร่วมสวมบทเป็นนักอุตสาหกรรม เจ้าของโรงงานที่ปล่อยสารพิษสู่อากาศ พวกเขาตกอยู่ใต้แรงกดดันของนักสิ่งแวดล้อม ก็เลยตกลงกันว่าจะต่างคนต่างซื้ออุปกรณ์ลดมลพิษราคาแพงมาติดที่โรงงานเพราะไม่อยากเจอกฎหมายที่เข้มขึ้นในอนาคต นักทดลองบอกนักอุตสาหกรรมจำแลงบางคนว่า พวกเขาจะเสียค่าปรับไม่สูงนักถ้าหากละเมิดสัญญา ไม่ซื้ออุปกรณ์มาติดจริง บอกนักอุตสาหกรรมจำแลงที่เหลือว่าไม่ต้องเสียค่าปรับใดๆ เลยถ้าหากผิดสัญญา

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทั่วไปจะพยากรณ์ว่า คำขู่ที่จะเก็บค่าปรับจะบังคับให้คนทำตามสัญญามากขึ้น แต่ผลที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม-คนที่โดนขู่ว่าจะโดนปรับกลับโกงมากกว่าคนที่ไม่โดนขู่ นักวิจัยพบว่าสาเหตุ คือ ระบบค่าปรับทำให้คนมองการตัดสินใจเรื่องนี้ว่าเป็นการตัดสินใจทางการเงินล้วนๆ ก็เลยทำตัวผิดศีลธรรมโดยไม่รู้สึกอนาทรร้อนใจ แต่การไม่ต้องเผชิญกับค่าปรับใดๆ ทำให้คนมองสถานการณ์นี้ว่าเป็นการตัดสินใจทางศีลธรรม พอมองว่าเป็นเรื่องทางศีลธรรมก็เลยโกงน้อยลง มีความยับยั้งชั่งใจมากขึ้น ข้อค้นพบนี้สอดคล้องกับข้อค้นพบจากงานวิจัยมากมายว่า คนเรามักจะคิดว่าตัวเอง “มีศีลธรรม” มากกว่าที่เรามีจริงๆ

ความพร่าเลือนทางศีลธรรมที่ว่านี้นอกจากจะกีดกันไม่ให้เราสังเกตเห็นความประพฤติผิดศีลธรรมของตัวเองแล้ว มันยังทำให้เรามองข้ามพฤติกรรมเดียวกันของคนอื่นด้วย ตัวอย่างที่ชัดเจนล่าสุด คือ วิกฤติการเงินในสหรัฐอเมริกา ก่อนเกิดวิกฤตินี้แน่นอนว่าคณะกรรมการสถาบันการเงิน บริษัทผู้สอบบัญชี บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และวาณิชธนกรจำนวนมากเข้าถึงข้อมูลน่าตกใจที่พวกเขาควรสังเกตเห็นและรายงาน แต่แล้วส่วนใหญ่ก็ไม่ทำ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะถูก “จูงใจให้ตาบอด” (motivated blindness) ในภาษาของนักจิตวิทยา หมายถึง แนวโน้มที่เราจะมองข้ามข้อมูลที่ขัดแย้งกับประโยชน์ของตัวเอง แม้แต่คนที่ซื่อสัตย์ที่สุดบางครั้งยังตกหลุมพรางนี้ ทั้งที่หลายคนจะปฏิเสธว่าไม่เคยตก

การตกอยู่ใต้อิทธิพลของแรงจูงใจให้ตาบอดนั้นทำให้มืออาชีพทำงานอย่างเป็น “ภววิสัย” (objective) ยากมาก โดยเฉพาะในภาคการเงินซึ่งภววิสัยเป็นส่วนสำคัญของจรรยาบรรณ และจรรยาบรรณเป็นหัวใจของความน่าเชื่อถือ ในกรณีอื้อฉาวมากมายตั้งแต่เอ็นรอนไปจนถึงเมอร์ริล ลินช์ ยักษ์ใหญ่ในอินเดียจนถึงจีนและไทย เราจะพบเห็นบ่อยครั้งว่าผลประโยชน์ทับซ้อน และการทำงานที่เข้าข้างลูกค้าแต่ผิดศีลธรรมและล่อแหลมว่าจะผิดกฎหมาย ของคนที่อ้างว่าเป็น “มืออาชีพ” นั้นเป็นส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาและซุกปัญหาไว้ใต้พรม

เราจะแก้ไขหรืออย่างน้อยก็บรรเทาปัญหาพฤติกรรมไร้ศีลธรรมได้อย่างไร หลายคนมักจะเสนอให้ยกระดับมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล เช่น ให้เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อน แต่งานวิจัยชิ้นสำคัญของ Daylian Cain, George Loewenstein และ Don Moore ปี 2005 พบว่า กฎการเปิดเผยดังกล่าวอาจส่งผลตรงกันข้าม คล้ายกับการบัญญัติค่าปรับให้นักอุตสาหกรรมจ่าย นั่นคือ การเปิดเผยข้อมูลทำให้คนรู้สึกว่า “ไม่มีหน้าที่” อีกต่อไปที่จะต้องทำงานอย่างเป็นภววิสัยหรือกำจัดปัญหาจากผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะตัวเองได้เปิดเผยข้อมูลไปแล้ว นอกจากนี้ การเปิดเผยมากขึ้นยังทำให้คนรู้สึกไว้วางใจมืออาชีพหรือสถาบันนั้นๆ มากขึ้น กลายเป็นว่าตกเป็นเหยื่อได้อย่างง่ายดายกว่าเดิม

ที่ผ่านมา ระบบกฎหมายของไทยและทั่วโลกลงโทษพฤติกรรมผิดศีลธรรมก็ต่อเมื่อมันเกิดจากความจงใจของคนทำ ไม่ว่าจะเป็นการจงใจทุจริต หรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงก็ตาม เรามักจะคิดว่าคนควรต้องรับผิดก็ต่อเมื่อพวกเขาตั้งใจทำผิดเท่านั้น แต่ในโลกแห่งความจริงซึ่งนักจิตวิทยาศึกษาและเผยให้เห็น พฤติกรรมไร้ศีลธรรมที่เราไม่ตั้งใจทำนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่า และก่อความเสียหายได้ไม่แพ้กัน คนเราเชื่อมั่นใน “ความดี” ของตัวเองเกินจริง และเราก็มักจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจไร้ศีลธรรมโดยไม่รู้ตัว 

ทั้งหมดนี้ หมายความว่า เราควรปฏิรูปกลไกกำกับดูแลให้รับมือกับอิทธิพลซ่อนเร้นที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของคน กำจัดผลประโยชน์ทับซ้อนที่อันตรายตั้งแต่ต้น เช่น ห้ามไม่ให้สถาบันการเงินทำธุรกรรมที่ขัดแย้งกับประโยชน์ของลูกค้า ผู้กำกับดูแลต้องเลิกคิดแค่ว่าจะเพิ่มค่าปรับ บทลงโทษ และระดับการเปิดเผยข้อมูลอย่างไร เพราะมาตรการเหล่านี้นอกจากจะไม่เพียงพอแล้ว หลายครั้งยังซ้ำเติมให้ปัญหารุนแรงกว่าเดิมอีกด้วย

สันติภาพ คือยอดปรารถนาของคนทั้งโลก

สันติภาพ คือยอดปรารถนาของคนทั้งโลก

Author : พนมหัตถ์

สังคมโลกทุกวันนี้มีความขัดแย้งระหว่างกันด้วยเรื่องต่างๆ นานา ตั้งแต่เรื่องเชื้อชาติ ศาสนา, ลัทธิความเชื่อถือ, การรุกล้ำดินแดน, ขัดแย้งผลประโยชน์ บางครั้งบางแห่ง ความขัดแย้งนำไปสู่การใช้กำลังห้ำหั่นสู้รบฆ่าฟันกัน

บางแห่งรุนแรงถึงขั้นทำสงครามระหว่างชาติที่ขัดแย้ง บางแห่งเกิดความขัดแย้งรุนแรงของคนในชาติ จนนำไปสู่สงครามกลางเมืองอย่างเช่นในเลบานอน และที่ซีเรียในปัจจุบัน

ความขัดแย้งถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกัน หมายถึงการสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตของผู้คนของทั้ง 2 ฝ่าย การสู้รบฆ่าฟันกันไม่เป็นผลดีแก่ฝ่ายใด อุทาหรณ์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน ทว่าในที่หลายแห่งของโลก ยังคงเลือกใช้วิธีการสู้รบด้วยกำลัง ทำสงครามกันเพื่อยุติปัญหา

ในทางตรงข้าม หากสังคมโลกมีความกรุณาเมตตาต่อกัน รักใคร่สมัครสมาน เข้าอกเข้าใจกัน ปรองดองสมานฉันท์ต่อกัน โลกใบนี้คงมีความสงบสุข มีสันติภาพ สันติสุข ไม่รบกัน ฆ่ากัน อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ สิ่งที่ว่ามานี้เกิดขึ้นได้แน่ ถ้าหากว่า…  ถ้าหากว่า…อิสราเอล กับชาติมุสลิมทั้งหลายที่อยู่ใกล้กัน ยุติการทำสงครามเข่นฆ่ากัน หาทางบรรลุข้อตกลง แบ่งสิทธิและผลประโยชน์กันได้อย่างเป็นที่พอใจ ประชากรของอิสราเอล กับประชากรของชาติมุสลิม มีเสรีภาพสามารถติดต่อค้าขาย แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ต่อกันได้ บนพื้นฐานความเสมอภาคของ 2 ฝ่าย สันติภาพและสันติสุขย่อมบังเกิดแก่ดินแดนแห่งนี้ ที่มีความขัดแย้งตั้งแต่โบราณกาล และสันติสุขย่อมบังเกิดแก่ดินแดนแห่งนี้ ที่มีความขัดแย้งตั้งแต่โบราณกาล

ถ้าหากว่า…ประเทศมุสลิมในตะวันออกกลาง ยุติและขจัดความแตกแยก แก่งแย่งชิงอำนาจ ระหว่างชนในชาติมุสลิมด้วยกัน ไม่หลงเชื่อชาติใหญ่ตะวันตกที่คอยยุแยงตะแคงรั่วให้ชนในชาติรบกัน เพื่อพวกนั้นจะได้ฉกฉวยโอกาสขายอาวุธยุทโธปกรณ์ สันติภาพและสันติสุขย่อมบังเกิดในภูมิภาคแห่งนี้

ถ้าหากว่า…อินเดียกับปากีสถาน ว่าไปแล้วก็เป็นชนชาติสายพันธุ์เดียวกัน ในอดีตก่อนได้รับเอกราชจากอังกฤษก็เป็นประเทศเดียวกัน สามารถหันหน้าเข้าหาพูดจากัน บนพื้นฐานของไมตรีจริงใจ แขกอินเดีย กับแขกปากีสถาน คือแขกด้วยกันน่าจะทำความเข้าใจกันได้ แทนการใช้อาวุธเข่นฆ่ากันระหว่างแขกต่อแขก สันติภาพและสันติสุขย่อมบังเกิดแก่สองชาตินี้ แห่งชมพูทวีปในอดีตกาล

ถ้าหากว่า…จีนยอมลดราวาศอก พูดจาด้วยเหตุด้วยผลต่อชาติเล็กกว่า เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ที่ในเวลานี้มีข้อพิพาทดินแดนตามหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ ด้วยถ้อยทีถ้อยอาศัย อย่าให้ชาติใหญ่ตะวันตกที่จ้องคอยเอาน้ำมันราดบนกองไฟแห่งความขัดแย้ง เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา บัดนี้จีนกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นชาติมหาอำนาจ น่าจะหยิบยื่นไมตรีแก่ชาติเล็ก เพื่อชนะใจชาติเล็กที่อยู่ใกล้กัน ดับความชิงชังของชนระหว่างชาติ อันจะนำไปสู่ความขัดแย้งในวันข้างหน้า

ถ้าหากว่า…เหตุการณ์ของโลกเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ตามความปรารถนาดังที่กล่าวมา จะไม่มีอะไรเลิศเลอไปกว่านี้แล้ว มหาอำนาจที่ทำตัวเป็นตำรวจโลก เป็นกรรมการโลกตัดสินความขัดแย้ง คงหมดความสำคัญ ส่วนชาติที่ได้ประโยชน์จากการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ขาย เพื่อให้มนุษยชาติเข่นฆ่าประหัตประหารกัน ย่อมเลิกกิจการไป เพราะไม่มีความจำเป็นต้องซื้อ ประเทศทั้งหลายที่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณในการจัดซื้อหาอาวุธไว้ป้องกันประเทศ จะได้ใช้งบประมาณทุ่มเทให้กับการพัฒนาประเทศ สร้างความอยู่ดี กินดี ให้คนในชาติ ได้อยู่อย่างมีความสุข ความสงบ  พัฒนาประเทศ สร้างความอยู่ดี กินดี ให้คนในชาติ ได้อยู่อย่างมีความสุข ความสงบ   สันติภาพจงบังเกิดแก่ชาวโลกด้วยเถิดเจ้าประคู้น

Source : http://www.ryt9.com/s/bmnd/1440661

มนุษย์ทั้งโลกพ้นทุกข์ร่วมกันได้

มนุษย์ทั้งโลกพ้นทุกข์ร่วมกันได้

Author : ประเวศ วะสี

กุญแจอยู่ที่ความเป็น “ทั้งหมด”

ในเมื่อส่วนต่างๆ สัมพันธ์กัน และสัมพันธ์กัน “ทั้งหมด” ถ้าเราไม่คิดถึงความเป็น “ทั้งหมด” เราก็ไม่สามารถทำให้เกิดความเป็นปรกติได้ ในระบบรถยนต์ประกอบด้วยเครื่องเคราหรือส่วนประกอบอันหลากหลายและสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน แต่ถึงจะหลากหลายซับซ้อนเท่าใด ถ้าส่วนประกอบครบและสัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง เกิดความเป็นทั้งหมด รถก็วิ่งไปได้อย่างเรียบร้อย โดยคนขับเพียงแต่ไขกุญแจสตาร์ทเครื่องเท่านั้น แต่ถ้าส่วนประกอบหนึ่งขาดไป หรือสัมพันธ์กันไม่ถูกต้อง แม้เพียงน็อตเพียงตัวเดียว รถยนต์คันนั้นก็จะเสียความเป็นปรกติ หรือวิ่งไม่ได้เลย

หรือร่างกายของเรา มีส่วนประกอบที่หลากหลายยิ่งกว่ารถยนต์หลายเท่า แต่เมื่อส่วนประกอบครบและสัมพันธ์กันถูกต้อง เราก็อยู่สบายๆ หรือมีความเป็นปรกติ หรือสุขภาพดี ถ้าอวัยวะหนึ่งผิดปรกติหรือขาดไปจากวงจร ก็จะเสียความเป็นปรกติ หรือไม่สบายไปทั้งตัว อาจวิกฤติและตายได้

ความสัมพันธ์กันด้วยดีของส่วนประกอบที่ปรกติทั้งหมดทำให้เกิดการหลุดพ้นจากความติดขัด หรือการพ้นทุกข์

มนุษย์ทั้งโลกและธรรมชาติแวดล้อมทั้งหมดอยู่ในระบบเดียวกัน หรือมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน (The same Oneness) ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งขาดไปหรือพิการ ย่อมกระทบส่วนอื่น ทำให้ขาดความเป็นปรกติ หรือสันติสุข

ไม่เคยมีมาเลยที่มนุษย์ทั้งโลกจะมีจิตสำนึกของความเป็นทั้งหมดทั้งโลก เพราะข้อจำกัดในการรับรู้ และในความรู้แต่โบราณมนุษย์อยู่เป็นกลุ่มตามเผ่าพันธุ์ และมีสัญชาติญาณทางเผ่าพันธุ์สูง มีการต่อสู้ระหว่างกลุ่ม ระหว่างเผ่าพันธุ์ระหว่างประเทศ ตลอดมาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ โดยไม่สามารถมีสันติภาพได้นาน แม้จะมีศาสนาใหญ่ๆ เกิดขึ้นในช่วง 2-3 พันปีก่อน ซึ่งเป็นปัญญาใหญ่เพื่อความสุขสวัสดีของมนุษย์ และได้ผลเป็นหย่อมๆ ไม่ทั่วถึง แต่สัญชาตญาณเผ่าพันธุ์ก็ทำให้มนุษย์ดึงศาสนาให้แคบลง กลายเป็นศาสนาหรือพระเจ้าเฉพาะเผ่าพันธุ์ตัว แล้วเข้าห้ำหั่นกันเพราะศาสนา แม้พุทธศาสนาจะเป็นศาสนาเพื่อสันติภาพ และมีผู้บรรลุธรรมตามคำสอน แต่สภาพทั่วไปที่ขาดความเป็นโลกเดียวกัน ยากที่จะมีคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือประเทศใดประเทศหนึ่งเจริญอยู่ได้นานโดยไม่ถูกคนกลุ่มอื่น หรือประเทศอื่นบุกเข้าทำลายล้าง ฉะนั้นแม้ศาสนาจะเป็นของดี เพราะขาดความเป็นโลกเดียวกัน สันติภาพของโลกก็เกิดขึ้นไม่ได้

เหมือนบางส่วนของเครื่องยนต์ดี แต่ส่วนอื่นๆ ไม่ดี รถยนต์คันนั้นก็ดีไม่ได้ เพราะทั้งหมดเป็นรถยนต์คันเดียวกัน

ในครั้งโบราณ เพราะมนุษย์อยู่ไกลกัน มนุษย์กลุ่มหนึ่งรู้อะไร กว่าความรู้จะเดินทางไปถึงมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งอาจกินเวลาตั้งพันปี มนุษย์ไม่อาจรู้ทั่วถึงกันได้ จึงขาดจิตสำนึกแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่สมัยนี้ความรู้ทั่วโลกมีแล้ว และมนุษย์ก็อยู่ใกล้ชิดกัน ไปมาหาสู่กันได้ทั้งโลก มีเทคโนโลยีการสื่อสารที่สามารถรู้เรื่องเดียวกันทั้งโลก ฉะนั้นในปัจจุบันจึงเป็นไปได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่มนุษย์ทั้งดลกจะรู้อย่างเดียวกันพร้อมกันทั้งโลก ทำให้ความเป็นโลกเดียวกันเป็นไปได้ จึงเป็นโอกาสที่มนุษย์จะคิดถึงความเป็นทั้งหมด และคิดถึงการอยู่ร่วมโลกเดียวกันด้วยสันติทั้งโลก

มนุษย์เป็นทั้ง 2 อย่างพร้อมๆ กัน คือมีความเป็นตัวของตัวเองมาก หรือความเป็นปัจเจกบุคคล แต่ขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงสัมพันธ์กันสิ่งอื่นๆ คือคนอื่น และธรรมชาติแวดล้อม เพราะทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าใครอยากจะอยุูคนเดียวไม่เกี่ยวข้องกับโลก โลกก็จะเกี่ยวข้องกับเรา และส่งผลกระทบกับเรา เพราะทั้งหมดอยุ่ในระบบเดียวกัน ฉะนั้นลัทธิปัจเจกนิยมสุดโต่ง จะเป็นในความทันสมัยแบบตะวันตก หรือในพุทธศาสนาแบบคับแคบที่มุ่งบรรลุนิพพานเป็นเอกเทศโดยไม่อยากเกี่ยวข้องกับใครก็ตาม เป็นการแยกส่วนจากทั้งหมด ไม่สามารถทำให้เกิดสันติภาพได้

กุญแจของสันติภาพจึงอยู่ที่การเห็นทั้งหมดทั้งปัจเจกบุคคล สังคมหรือคนทั้งโลก และธรรมชาติทั้งโลก ความเป็นโลกเดียวกัน จึงหมายถึงคนแต่ละคน คนทั้งหมดทุกคนในโลก และธรรมชาติทั้งโลก

เมื่อมนุษย์อวกาศชื่อ เอ็ดการ์ มิทเชลล์ ยืนอยู่บนดวงจันทร์แล้วเห็นโลกทั้งใบลอยฟ่องอยู่ในอวกาศ เขาเกิดจิตสำนึกใหม่แห่งควงามเป็นโลกเดียวกัน เมื่ออยู่บนโลกเพราะรู้เห็นเป็นส่วนๆ จึงเกลียดกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง ฆ่ากันบ้าง ทำลายธรรมชาติบ้าง แต่เมื่ออยู่นอกโลกแล้วเห็นโลกทั้งใบจึงเกิดจิตสำนึกแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งโลก เกิดความรักอันไพศาลต่อมนุษย์ทั้งหมดและต่อธรรมชาติทั้งหมด

“I came back to Earth a totally changed man.” เอ็ดการ์ มิทเชลล์ กล่าว (ฉันกลับมายังโลกเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง) คือ เกิดจิตสำนึกโลก ที่ผ่านเลยการยึดมั่นในตัวตน

ถ้ามนุษย์มีจิตสำนึกใหม่ (New Consciousness) อันเป็นจิตสำนึกใหญ่เป็นจิตสำนึกโลก เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนทั้งโลก และธรรมชาติทั้งหมดจะประสบอิสรภาพ เพราะหลุดจากความยึดมั่นในตัวเอง หรือการเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง หรือติดอยู่กับความคับแคบในตัวเอง อันก่อให้เกิดความขัดแย้ง อิสรภาพจะทำให้มนุษย์พบความสุข เกิดความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหมดและธรรมชาติทั้งหมด อันเป็นรากฐานให้มนุษย์สามารถจัดระบบการอยู่ร่วมกันด้วยสันติทั้งโลก ทั้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติแวดล้อม นั่นคือ

“มนุษย์ทั้งโลกพ้นทุกข์ร่วมกันได้”

ที่จริงมนุษย์ใฝ่ฝันมาแต่โบราณถึงโลกที่มนุษย์มีความเจริญมีความสุขดังที่เรียกว่า “โลกศรีอาริยะ” แต่สมัยโบราณไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะความเป็นโลกเดียวกันเป็นไปไม่ได้ แต่ในปัจจุบัน สังคมมนุษย์ได้วิวัฒนาการมาถึงจุดที่ความเป็นโลกเดียวกันเป็นไปได้ โลกที่มนุษย์มีความเจริญและมีความสุข หรือ “โลกศรีอาริยะ” จึงมีความเป็นไปได้ ปัญญาทางศาสนาแต่ดั้งเดิม และความรู้ใหม่ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับจักรวาลโลก สิ่งแวดล้อม สังคม กำลังมาบรรจบกัน ที่ทำให้มนุษย์มีทางเลือกอันหลากหลายที่จะเกิดจิตสำนึกใหญ่ เมื่อมีทางเลือกอันหลากหลายก็เป็นไปได้ว่ามนุษย์ทั้งหมดจะเกิดจิตสำนึกใหม่ แม้ทางเลือกจะต่างกัน แต่จิตสำนึกใหม่จะเป็นที่พบกันของมนุษย์ทั้งโลก จัดระบบการอยู่ร่วมกันด้วยความเจริญ และความสุขร่วมกันทั้งโลก

เส้นทางการไปสู่การพ้นทุกข์ร่วมกันทั้งโลก เป็นเส้นทางที่หลากหลาย เปิดกว้าง ไม่คับแคบ ไม่บีบคั้น จึงเป็นเส้นทางที่สามารถเดินได้ด้วยความหฤหรรษ์ และสนุก

Source : หนังสือ “วิถีมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ศูนย์ หนึ่ง เก้า” เขียนโดย ประเวศ วะสี

จดหมายอวยพรจากทะไลลามะ ถึงส.ศิวรักษ์

จดหมายอวยพรจากทะไลลามะ ถึงส.ศิวรักษ์

19 มีนาคม 2556

เรียน ศรีสุลักษณ์

 

อาตมาทราบว่าใกล้ถึงวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของคุณ ในโอกาสสำคัญนี้ อาตมาขออำนวยพรให้คุณมีความสุข และสามารถประกอบกิจอันดีงามอีกยาวนาน

 

จำได้ที่เราพบกันเป็นครั้งแรกๆ คราวที่อาตมาไปเยือนเมืองไทยเมื่อกว่าสี่สิบปีที่แล้ว เราทั้งคู่ต่างยังหนุ่ม หลังจากนั้นเราได้พบกันอีกหลายครั้ง อาตมารู้สึกชื่นชมกับงานที่คุณทำ ซึ่งช่วยให้คนเห็นถึงปัญหาที่มนุษยชาติเผชิญอยู่ และชื่นชมความกล้าหาญของคุณในการเสนอทางออกให้กับปัญหาเหล่านั้น

 

อาตมายังยินดีกับศรัทธาปสาทะอันแก่กล้าที่คุณแสดงออกต่อพุทธธรรมและธรรมปฏิบัติ และนำเสนอให้เหมาะกับยุคสมัยปัจจุบัน

 

ด้วยพรและธรรมอันประเสริฐ

เจริญพร

สมเด็จทะไลลามะ

มอง ส. ศิวรักษ์ จากอีกมุมหนึ่ง

มอง ส. ศิวรักษ์ จากอีกมุมหนึ่ง

Author : ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว

คนส่วนใหญ่มองและเห็น ส.ศิวรักษ์ หรือ “อาจารย์สุลักษณ์” เป็นนักคิด นักเขียน และปัญญาชนชาวพุทธคนสำคัญของยุคสมัย

ส.ศิวรักษ์ ยังเป็นอะไรอีกตั้งหลายอย่าง

ส.ศิวรักษ์ เป็นนักประวัติศาสตร์
ส.ศิวรักษ์ เป็นนักวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ตัวยงและอย่างต่อเนื่อง โดยมีความรู้เรื่องเจ้าและมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าอย่างกว้างขวางลึกซึ้ง
ส.ศิวรักษ์ เป็นนักวิจารณ์วงการสงฆ์และรู้เรื่องพระสงฆ์ดีที่สุดคนหนึ่งในประเทศนี้
ส.ศิวรักษ์ เป็นนักต่อสู้เคลื่อนไหวในเรื่องสิทธิมนุษยชนและความเป็นธรรมในสังคมระดับนานาชาติ
ส.ศิวรักษ์ เป็นนักระดมทุนที่เก่ง
ส.ศิวรักษ์ เป็นหัวขบวนคนสำคัญของบรรดาเอ็นจีโอไทย และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งหน่วยงานพัฒนาเอกชนและองค์กรไม่แสวงกำไรชั้นนำจำนวนมาก
ส.ศิวรักษ์ เป็นบรรณาธิการคนสำคัญของอุตสาหกรรมหนังสือไทย
ส.ศิวรักษ์ เป็นคอลัมนิสต์ปากกาคม
ส.ศิวรักษ์ เป็นนักเขียนที่มีผลงานจำนวนนับร้อยเล่ม ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ โดยทำงานเขียนมาตลอด 60 กว่าปี
ส.ศิวรักษ์ เป็นนักปาฐกถาที่มีลีลาเฉพาะตัว พูดกระชับ ตรงประเด็น มีพลังในการโน้มน้าว และอ้างอิงข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ที่แม่นยำ
ส.ศิวรักษ์ เป็นปัญญาชนคนแรกๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหวโค่นล้มทักษิณ ชินวัตร ในรอบที่แล้ว

มิเพียงเท่านั้น ส. ศิวรักษ์ ยังเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ สำนักพิมพ์เคล็ดไทย (และสำนักพิมพ์ในเครือข่าย) สายส่งศึกษิต ร้านหนังสือศึกษิตสยามและร้านในเครือข่าย ล้วนเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และมีส่วนช่วยเหลือนักเขียน กวี และเจ้าของสำนักพิมพ์เล็กๆ น้อยๆ จำนวนมาก

พูดภาษาเชิงการบริหารจัดการได้ว่า ส.ศิวรักษ์ นั้นมี “จิตวิญญาณแบบผู้ประกอบการ” หรือ “Entrepreneurial Spirit” อยู่เต็มเปี่ยม คือชอบริเริ่มสร้างสรรค์และรับความเสี่ยง แม้จะย่างเข้าปัจฉิมวัยแล้วก็ตาม จิตวิญญาณแบบนั้นก็ยังคงไม่มอดไหม้

MBA สนใจ ส.ศิวรักษ์ ในเชิงนี้ เพราะ ส. ศิวรักษ์ เป็นตัวอย่างของผู้สูงอายุที่ยังคงประกอบการและผลิตและสร้างสรรค์

คนอย่าง ส.ศิวรักษ์ พิสูจน์ให้เราเห็นว่า “จิตวิญญาณแบบผู้ประกอบการ” และความคิดสร้างสรรค์ หรือพลังที่จะริเริ่มกิจกรรมและธุรกิจ โดยพร้อมรับความเสี่ยง ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีอยู่แต่ในวัยหนุ่มสาวอย่างเดียว ดังที่เข้าใจกันในบัดนี้ (ส.ศิวรักษ์ ยังพร้อมรับความเสี่ยงต่อชีวิต ทรัพย์สิน และถูกพรากอิสรภาพ ทุกครั้ง เมื่อวิจารณ์สถาบันฯ และผู้มีอำนาจ)

สื่อมวลชนและนโยบายสร้างผู้ประกอบการของแทบทุกรัฐบาลล้วนพุ่งความสนใจไปสู่คนหนุ่มสาวในเยนเนอเรชั่น Google, Facebook, และ Groupon และ “เถ้าแก่น้อย”

โดยเรามักคิดว่าคนอายุ 50, 60, 70 ย่อมบุกเบิกสร้างกิจการไม่ได้แล้ว เพราะเป็นวัยอันควรเกษียณและพักผ่อนหรือเลี้ยงหลานอยู่กับบ้าน

โอกาสที่จะเข้าถึงทุนของพวกเขาแทบจะเป็นไปไม่ได้ (มันค่อนข้างนอกเหนือจินตนาการของบรรดานายธนาคารไปมาก ถ้าจะให้พวกเขาปล่อยสินเชื่อให้กับคนในวัย 50 หรือ 60 เพื่อมาลงทุนสร้างกิจการ)

แต่อย่าลืมว่าคนอย่าง Ray Krock ก็เริ่มสร้าง McDonald”s ตอนอายุ 50 กว่า และพันเอก Harland Sanders ก็เริ่มสร้าง Kentucky Fried Chicken เมื่ออายุ 60 กว่าแล้ว Verdi ประพันธ์โอเปร่าเรื่อง Falstaff ตอนอายุ 80 เช่นเดียวกับเบโธเฟนที่แต่งซิมโฟนีหมายเลข 9 เมื่ออายุ 54 และตอนที่รัชกาลที่ 1 สร้างกรุงก็ทรงมีพระชนมายุมากกว่ากึ่งหนึ่งของพระชนม์ชีพแล้ว และ Peter Drucker ก็เพิ่งจะมาดังสุดขีดและสร้างสรรค์สุดขีดในฐานะ Management Guru ระหว่างช่วงอายุ 60-94 นี่เอง เชอร์ชิลนำอังกฤษสู้ฮิตเล่อร์เมื่ออายุ 65 เช่นเดียวกับนายพลไอเซนฮาวที่นำกองทัพสัมพันธมิตรยกพลขี้นบกในวัน D-Day เมื่ออายุ 54 และไมเคิลแองเจโลก็ปีนขึ้นไปวาดภาพบนเพดานโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ตอนอายุ 71 แล้ว หรือคนอย่าง แอ็ด คาราบาว เพิ่งจะก่อตั้งบุกเบิกกิจการ “คาราบาวแดง” ตอนอายุ 50 นี่เอง และยังคงแต่งเพลงและ Produce งานเพลงให้ศิลปินรุ่นหลังอยู่อย่างต่อเนื่องแม้จะย่างเข้าวัยเกษียณแล้ว (อย่าลืมว่า Rolling Stone ยังตระเวนแสดงสดอยู่ และสมาชิกวงก็ยังแต่ตัวสไตล์เดิม ไม่ต่างจากสมัยที่พวกเขายังเป็นวัยรุ่น และ Mick Jagger ก็ยังกระโดดโลดเต้นอยู่อย่างเดิม แม้จะอายุ 69 แล้ว)

คนอย่าง ส.ศิวรักษ์ และปีเตอร์ ดรักเกอร์ และ Ray Krock และพันเอก Harland Sanders และ Mick Jagger และสมาชิกวง Rolling Stone และหลายคนที่กล่าวมานั้น ทำให้คนรุ่นหลังอย่างเราไม่กลัวความแก่ และทำให้เราวางใจได้ว่าสังคมในอนาคตที่คาดกันว่าจะเต็มไปด้วยคนแก่นั้นจะยังสร้างสรรค์ต่อไปและไม่หยุดผลิต

ที่สำคัญ มันยังสร้างความหวังให้กับคนที่กำลังย่างเข้าวัย 40-50-60 ซึ่งคิดว่าตัวเองหมดหนทาง หมดเวลาแล้วสำหรับงานตั้งต้นบุกเบิก งานสร้างสรรค์ และรับความเสี่ยง ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะทำงานอยู่ในภาคราชการหรือเอกชนหรือเป็นนายตัวเองหรือทำงานสร้างสรรค์นฤมิตกรรมเพื่อยกระดับจิตใจมนุษย์ (Sursum Corda)

จะไม่มีคำว่า “อยู่ไปวันๆ” “รอเกษียณ” หรือ “รอวันถูกโละออกจากงาน”

Source : ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2555 
http://mba-magazine.blogspot.com/2012/02/blog-post_27.html

อภิมหาวาทกรรม ‘ปัญญาชน คนรากหญ้า’ กับข้อสังเกตบางประการ

อภิมหาวาทกรรม 'ปัญญาชน คนรากหญ้า' กับข้อสังเกตบางประการ

Author : รัฐพล เพชรบดี

ถ้าคำถามที่ว่า “ไก่กับไข่ อะไรหนอที่เกิดก่อนกัน” นับเป็นปัญหาที่เรียกว่า ‘โลกแตก’ ฉะนั้นคำุถามที่ว่า “ปัญญาชนกับคนรากหญ้า ใครหนอซื่อบื้อกว่ากัน (ในสภาวะหลังสมัยใหม่)” ก็อาจนับว่าเป็นปัญหาโลกแตกได้เ่ช่นเดียวกัน ตรงนี้หมายถึงอะไร” ตรงนี้ก็หมายความว่าใช่ปัญญาชนจะซื่อบื้อไปหว่าชาวรากหญ้ามิได้เสียเมื่อไหร่ หรือถ้าจะมองในมุมของกฤษณะมูรติ นักปราชญ์ร่วมสมัยชาวอินเดียผู้ที่กว่าวว่า ‘ปวงความรู้นั้นคือพันธนาการ’ ก็คงยิ่งไม่ต้องกว่าวอะไรถึงความเป็นไปได้ในการสลับขั้วกันซึ่งปัญหาโลกแตก แดร์ริดาเองก็เคยโต้ไว้ว่าการที่เราเห็นความไม่มีอยู่นั้นไร้ค่า มันเป็นเพราะเรายึดกับความมีอยู่ของสิ่งต่างๆ ให้เป็นสถานะหลักของการตีความ (metaphysics of presence) ในความเป็นจริงกระแสหลัก ดังนั้น โลกใบนี้จึงไม่มีพื้นที่ให้กับความไม่มีอยู่ ถ้าจะมองว่าวาทกรรม ‘ปัญญาชน คนรากหญ้า’ เป็นหนึ่งในลักษณะที่เรียกว่า Binary Opposition กลายๆ ก็คงไม่ผิดอะไร มีขาวก็ต้องมีดำ มีไร้ก็ต้องมีซึ่งดำรง มีร้อนก็ต้องมีหนาว มีฉลาดก็ต้องมีโง่ และที่สำคัญมีคนรากหญ้าก็ต้องมีฝ่ายตรงข้าม เพียงแต่ตรงนี้เราอาจต้องพิจารณาให้ดีว่าทุกคู่ตรงข้ามมีความสอดคล้องไปในทางเดียวกันทุกกรณีหรือไม่ ส่วนตัวผู้เขียนมองว่าไม่แน่นอน เนื่องจากคู่ตรงข้ามบางคู่นั้นก็มนุษย์เราเองนี้แหละ ที่เป็นคนสร้างสรรค์มันขึ้นมา ผู้เขียนไม่รู้ว่าจะปีติหรือเศร้าโศกดี ที่การทำรัฐประหารกันยา ๔๙ โดยตัวมันเองทำให้อภิมหาวาทกรรมนี้ก่อกำเนิดเกิดขึ้นมาในสังคมไทย กระบวนการ ‘วิภาษวิธี’ ที่กำลังรอการผลิดอกออกใบในทางการเมืองแต่ละยุคสมัยจึงจะได้เจริญเติบโตเร็วขึ้นกว่าเดิม ไปสู่จุดสัมบูรณ์เร็วขึ้นกว่าเดิม ว่าแต่มันมีอยู่จริงหรือ สิ่งที่เรียกว่า ‘ปัญญาชน คนรากหญ้า'” หรือเอาเข้าจริงแล้ว มันเป็นเพียงแค่ความฝันที่รอการตื่นเพียงวาทกรรมที่รอการชำระ หรือมันอาจจะเป็นเพียงอวิชชาของคนบางกลุ่ม” แน่นอนว่าท่านผู้อ่านคงต้องเคยขบคิดความหมายของวาทกรรมคู่ตรงข้ามนี้มาบ้าง ไม่มากก็น้อย ด้วยวิธีพิสูจน์ที่อาจใช้ระบบตรรกะเหตุผหรือว่าด้วยอารมณ์ความรู้สึก แต่ผลลัพธ์คือแน่นอนว่าการตีความวาทกรรมคู่นี้นั้นมิใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมันหาได้ใช่ discourse ธรรมดาๆ แต่ถึงขั้นอภิมหา(grand) วาทกรรมที่มีเลือดวาทกรรมย่อยผสมกันอยู่มากสีเลยทีเดียว กล่าวคือวาทกรรม ‘ย่อย’ ในส่วนของ ‘ศีลธรรม’ (morality) ‘การศึกษา’ (education) และ ‘อุดมการณ์’ (ideology)   วาทกรรม ‘คลั่งศีลธรรม’ ของคนเมือง (หรือชนชั้นกลาง) ถ้าลองสังเกตอัตราความเคลื่อนไหวในทางการเมืองในแต่ละขณะ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันให้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่าวาทกรรมทายาท (คลั่ง) ‘ศีลธรรม’ (ศัพท์โดย สฤณี อาชวนันทกุล) เพิ่งจะถูกคลอดออกมาให้เห็นเด่นชัดในช่วงยุครัฐบาลคุณทักษิณนี่เอง (กล่าวคือก็น่าแปลกดี ที่แม้แต่การเมืองในสมัยเดือนตุลา ซึ่งถูกแฝงไว้ด้วยความโหดร้ายทารุญอย่างยิ่งกลับไม่ส่งผลให้วาทกรรมที่ว่านี้เด่นชัดเท่า) คำชมคลาสสิกที่เรามักจะได้ยินเกี่ยวกับกิตติศัพท์ของคุณทักษิณก็เช่นว่า ‘ไอ้โกงบ้านโกงเมือง’ (จากแนวคิดชนชั้นกลางทั่วไป) ‘มันจะซื้อประเทศเราไปแล้ว’ (จากเพื่อนผู้เขียน) ‘ระบอบทักษิณ’ (ขอยืมลิขสิทธิ์ อ.เกษียร เตชะพีระ (สมัยก่อน)) ‘ไอ้สมบูรณาญาสิทธิทุน’ (อ้างอิง ส.ว.คำบุญ สิทธิสมาน) ‘เสื้อคลุมประชาธิปไตย เนื้อในเผด็จการ’ (อ้างอิง อ.บรรเจิด สิงคะเนติ) ฯลฯ ผู้เขียนเองคงไม่วิจารณ์อะไรกับคำวิจารณ์ ด่าทอตรงนี้ เพียงแต่ผู้เขียนมองว่ามันมีประเด็นที่พิลึกพิลั่นบางอย่างที่ควรจะถูกนำเสนอเท่านั้น ประเด็นแรกก็คือว่าผู้พูด หรือผู้หยิบยืมวลีประโยคเหล่านั้น (ส่วนมาก แต่อาจไม่ทั้งหมด) หาได้รู้อะไรเลยเกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆ ในเนื้อหาทางกฎหมาย การเมือง และความรู้พื้นฐานทางด้านประวัติศาสตร์ไทย คำถามจึงมีอยู่ว่า แล้วคนกลุ่มที่ว่านั้นเขาด่าทำไม เขาด่าไปด้วยเหตุผลอะไร” คำตอบอย่างพื้นฐานที่สุดก็คือเพื่อจะแสดงให้เห็นว่า “ฉันเป็นคนอี มีศีลธรรม” “ไอ้พวกโกงบ้านโกงเมืองฉันรับไม่ได้หรอก” ดังนั้นแล้วการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ หาข้อเท็จจริง จึงหาได้มีความสลักสำคัญอะไรเท่ากันการแสดงตัวตอนและจุดยืนตามกระแสสังคมเท่านั้น (persona จากแนวคิดของ คาร์ล ยุงค์) ข้อสังเกตที่ตามมาจึงมีอยู่ว่า แล้วรัฐบาลบางรัฐบาลทีีขึ้นชื่อว่ามีการทุริตคอร์รัปชั่นสูงทีุ่สุดในประวัติศาสตร์ไทยนั้นเท่าที่เคยปรากฏมานั้น ด้วยเหตุใดจึงไม่โดนกล่าวหาในลักษณะเดียวกัน จากคนกลุ่มเดียวกันเล่า” ตรงนี้ก็พูดได้ว่าเป็นภาพต่อในนัยยะเดียวกัน สอดคล้องกัน กล่าวคือ ‘ความดูดี มีชาติตระกูล(เก่าแก่)’ สำหรับคนไทยนั้นถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งในทุกวงการ เมื่อมีสิ่งที่ว่านี้แล้ว เกราะหุ้มในเรื่องศีลธรรมความดีก็ตามมาเอง เมื่อมีสิ่งที่เรียกว่า “คนดีมีชาติตระกูล” แล้วจึงเป็นเรื่องปกติที่ต้องมีสิ่งที่ถูกนิยามให้อยู่ตรงกันข้าม ถ้าจะพูดกันในเชิงสัญลักษณ์ ฝ่ายที่ว่าก็คือ “สีแดง” (ไพร่) นั่นเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนส่วนใหญ่ตัดสินสิ่งที่เรียกว่า “ศีลธรรม” ด้วยวัฒนธรรมประเพณี ด้วยปัจจัยภายนอก และอารมณ์ความรู้สึก พื้นที่ “ความเป็นคนดี” จึงไม่มีเหลือให้เพื่อนมนุษย์อีกฝ่ายสามารถถลำกล้ำกรายเข้ามามีส่วนร่วมได้ ซึ่งตรงนี้เอง ที่ผู้เขียนมองว่ามีความพิลึกพิลั่นจนสุดจะพรรณนา กล่าวคือเราไม่ตัดสินคนด้วยบรรทัดฐานของปรัชญาความรู้ แต่กลับตัดสินคนด้วย “ความเป็นเขา” (you are wrong because you have been, not what you have done) อย่างง่ายๆ และหยาบๆ เพียงแค่นั้น ถ้าเขาดี เขาก็จะดีเสมอไป ถ้าเขาจะสง่า ก็จะสง่าเสมอไป ถึงเขาจะฆ่าคนเกินกว่าเก้าสิบศพ เขาก็เป็นคนดี ถึงเขาจะทำการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่เขาเป็นคนมีสง่าราศีชาติตระกูล ถึงเขากระทำการยึดอำนาจรัฐประหาร เขาก็ยังคงไว้ซึ่งศีลธรรม ในขณะที่กลุ่มคนอีกพวกหนึ่งนั้นไร้ซึ่งปัญญาและศีลธรรมยิ่งนัก มันเป็นฝ่ายซ้าย มันเป็นคอมมิวนิสต์จำแลง มันเรียกร้องระบอบประชาธิปไตย มันจะสืบทอดเจตนารมณ์ของคณะราษฎร มันจะแก้รัฐธรรมนูญฉบับรัฐประหาร มันจะโค่นอำมาตย์ (ขุนนางและผู้มีอำนาจเก่า) เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกันในสังคมตามธรรมสภาพสัจจะความเป็นจริง และที่สำคัญ มันผิดเพราะเป็นคนรากหญ้า เป็นคนชนบทเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร   วาทกรรมการศึกษาของ “คนเดินทองหล่อ” กับ “คนหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน” ท่าน ส.ศิวรักษ์ เคยกล่าวเอาไว้ ณ รายการคุณภิญโญ เกี่ยวกับเรื่อง “ประชาธิปไตย” ตอนหนึ่งว่า “ประชาธิปไตยนั้น เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน” โดยส่วนตัวผู้เขียนเองเห็นว่าประโยคที่ว่ามีความหมายลึกซึ้งยิ่ง เพราะในเมื่อประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องการปกครอง “โดยประชาชน ของประชาชน และเพื่อ ประชาชน” (อ้างอิง อับราฮัม ลินคอล์น) แล้ว ฉะนั้นประเด็นเรื่องการศึกษาจึงมิใช่ประเด็น (หรือมิควร) ที่จะมากำหนดทิศทางประชาธิปไตยของบ้านเมืองในฐาน “วาทกรรมหลัก” แต่อย่างใด ก่อนอื่นถ้าเราลองคิดดู เราจะเห็นว่าเรื่องของ “ช่องว่าง” หรือ “ความห่าง” ในระดับขั้นของการศึกษามักจะถูกหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นหลักในทางการเมือง (ภาคประชาชน”) เสมอมา ทั้งในรูปของการนำเสนอแบบรูปธรรม (เช่นเรื่องของลำดับศักดิ์ปริญญา หรือการแสดงความรู้ทางเทคโนโลยีใหม่ๆ) หรือในรูปแบบของการนำเสนอเชิงสัญลักาณ์ (เช่น การแปรความหมายทุกอย่างให้เป็นไปในแง่ต่ำต้อยตลอดเวลาเมื่อกล่าวถึงคำว่า “ชนบท”) หรือถ้าจะลองพิจารณากันตามแนวคิด difference ของแดร์ริดา ก็เป็นไปได้ที่ “ความหลากเลื่อน” น้ำจะโยงไปถึงการสร้างวาทกรรมคามต่างระหว่างวัฒนธรรมเพลงป๊อปอัลเทอร์กับเพลงลูกทุ่ง (ซึ่งมีศักดิ์ด้อยกว่า) เสียด้วยซ้ำ จะอย่างไรก็ตาม คำถามตรงนี้ก็คือ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และอะไรที่นับได้ว่าเป็นจุดผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดในเรื่องนี้” คำตอบที่ชัดเจนที่สุดอาจตอบได้ว่า มันเป็นเรื่องความคิด (อาจนับได้เป็นวาทกรรมหนึ่ง) ทาง “ชนชั้น” (classes) ที่ยังฝังรากแน่นอยู่ในสังคมไทยนั่นเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่ได้แสดงออกทางความคิดในรูปแบบนี้ (ส่วนมาก) ยังหาได้รู้ความนัยและที่มาของการแสดงออกเหล่านั้นของตนเลย พวกเขาหารู้ไม่ว่าการพูดถึงความต่าง (โดยไม่รู้ตัว) ของเรื่องวัฒนธรรม การศึกษา ชาติพันธุ์ ภาษา ล้วนมีต้นตอมาจาก “อคติ” (bias) ที่เกิดจากระบบชนชั้นทั้งสิ้น ในทำนองเดียวกัน ถ้ามองในมุม “การครอบงำ” (hegemonic power) ของวาทกรรมกระแสหลัก ก็จะเห็นได้ว่ามันจะแสดงออกในรูปของ binary opposition (ที่ได้เกริ่นไปแล้ว) อยู่เสมอ เช่นการตัดมิติกันของเรื่อง เมือง/ชนบท ภาษากลาง/ภาษาอีสาน ปัญญา/แรงงาน ผู้นำ/ผู้ถูกกดขี่ ไฮโซ/โลโซ ทองหล่อ/หนองหอย คอนกรีต/ดินแดง ไวน์แดง/เหล้าขาว ฯลฯ กล่าวสรุปตรงนี้อย่างง่ายๆ ก็คือว่า ไม่ว่าเหตุผลของอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อวาทกรรมเหล่านี้ได้ครอบงำและฝังรากลึกอยู่ในสังคมอย่างแทบจะถาวรแล้ว ทุกอย่างจึงถูกฟูลล์สต๊อปป์อยู่ที่เดิม และเนื่องด้วยที่มาเหล่านี้เอง จึงทำให้คนจบมหาวิทยาลัยปีสีที่เดินอยู่ตามซอกซอยถนนทองหล่อ กับคนจบระดับชั้นเดียวกันแต่กลับไปช่วยแม่อยู่ตามคันนา กลับมีศักดิ์และชนชั้นในทางการเมืองที่แตกต่างกันโดยอัตโนมัติเนื่องจากพื้นฐานของการคอบงำ และแน่นอนว่าปราศจากการใช้ซึ่งปรัชญาและตรรกะเหตุผลในการพิจารณาแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนจะขออธิบายเรื่องการศึกษาและประชาธิปไตยอีสักหน่อย กล่าวคือที่ท่าน ส. พูดมานั้น ความหมายที่แท้จริงคืออะไร การตีความควรจะเป็นไปในทิศทางไหน” ตรงนี้ผู้เขียนมองว่าชื่อของระบบก็สามารถพูดได้โดยตัวของมันเองอยู่แล้ว กล่าวคือประชาธิปไตยเป็นเรื่องของการลงความเห็นชอบ (ใช้อำนาจอธิปไตย) โดยคนส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนั้น เรื่องการด่าทอว่าใครฉลาดหรือโง่กว่าใคร เรื่องตระกูลใครเก่าแก่กว่าใคร เรื่องใครเป็นอำมาตย์ใครเป็นชาวบ้าน จึงเป็นเพียงสิ่งที่ปรุงแต่งอยู่นอกระบอบเท่านั้น ตรงนี้สำคัญอย่างไร” ตรงนี้สำคัญที่ว่าก่อนที่ระบอบประชาธิปไตยจะเริ่มผลิบานได้นั้น “ความเท่าเทียม” กันทั้งในเรื่องของสิทธิและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ควรจะทำให้เกิดมีขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมเสียก่อน (ผู้เขียนคิดว่าตอนนี้ยังไม่มี) ทุกคนมีหนึ่งเสียงที่ทรงพลังเท่าๆ กัน และเมื่อเรายอมรับในปัจจัยที่เป็นสัจจะนั้นได้แล้ว ประชาธิปไตยที่แท้ก็จะถึงเวลาเรียนรู้ความถูกต้องและความผิดพลาดในตัวของมันเอง (ตามกระบวนการ “วิภาษวิธี”) ได้อย่างมีคุณภาพ (อ้างอิง อ.วีรพัฒน์ ปริยวงศ์) เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เราอาจจะต้องเห็นความเขลาที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ไปตลอดกาลนาน ในนามแฝง “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ที่มีแต่คนหน้าตาดี คนชั้นสูง หรือนักวิชาการฝ่ายขวา (ฌอง ปอลล์ ซาร์ตร์เคยบอกว่าปัญญาชนที่แท้ คือฝ่ายซ้ายเท่านั้น) ออกมาพูดนู่นพูดนี่ ดูดีมีหลักการ แต่เอาเข้าจริงก็แก้ไขอะไรไม่ได้สักอย่าง ดังที่เคยปรากฏอย่างชัดแจ้งมาในทุกยุคทุกสมัย   ประชาธิปไตย : อุดมการณ์ ปฏิบัติ หรือละอองดาว เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนของผู้เขียนคนหนึ่งเคยกล่าวกับผู้เขียนว่า “ประชาธิปไตยยังไม่เหมาะกับเมืองไทยหรอกว่ะ” ผู้เขียนตอบ (ในใจ) ทันควันว่า “ก็ในเมื่อมันยยังไม่ทันเกิด แล้วมันจะเหมาะได้ยังไงวะ” ที่ผู้เขียนเกริ่นมาแบบนี้ก็ไม่ใช่อะไร เพียงแต่ผู้เขียนต้องการจะสื่อว่ามิใช่เพราะว่าคำพูดเทือกๆ นี้หรอกหรือ ที่เป็นนัยยะได้อย่างดีในการไม่ยอมรับหลักการของประชาธิปไตยที่เราๆ ท่านๆ ต้องการ มันมิใช่เราพคำพูดประมาณนี้หรอกหรือ ที่สื่อถึงการไม่ยอมรับความแตกต่างทางความคิดของมนุษย์ (นานาจิตตํ) ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ต้องมีการยกเหตุยกผลนอกระบบมาโต้แย้งอยู่เสมอ ท่าน ส.ศิวรักษ์เคยกล่าวเอาไว้ว่า “ก็เพราะคนเหล่านั้นมันกลัวประชาธิปไตย” ผ่านรายการทีวีรายการหนึ่ง โดยส่วนตัวผู้เขียนเห็นว่านี้เป็นเหตุผลที่ดี ถึงแก่น และแทงใจดำทีเดียว คำถามตรงนี้มีอยู่ว่าแล้วเมื่อไหร่ระบอบประชาธิปไตย “ที่แท้” (หลังจากฝ่าฟันขวากหนามมาแล้วถึงแปดทศวรรษ) จะผลิบานเสียที” เมื่อไหร่ที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามจะเคารพความแตกต่างทางความคิด และเคารพในสิทธิขั้นพื้นฐานตรงนี้ซึ่งกันและกันเสียที” คำตอบี่ชัดเจนที่สุดก็คือ เมื่อมนุษย์สามารถดำรงอยู่ในสังคมได้โดยปราศจากซึ่งความกลัวนั่นเอง คำถามต่อมาก็คือแล้วที่ว่ากลัวนั่น กลัวอะไร” ตรงนี้ก็สามารถตอบได้ว่ากลัวว่าคนอื่นจะคิดไม่ถูก คิดไม่เหมือนตน กลัวว่าความคิดของคนอื่นนั้นจะไม่เป็นไปในตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่เคยปูกันมา (อย่างแนบเนียบ) แม้ว่าความคิดเหล่านั้นจะมาจากคนส่วนใหญ่ของประเทศก็ตาม กลัวว่าคนอื่นจะไม่ฉลาดเหมือนตน และที่สำคัญที่สุด กลัวว่าคนอื่นนั้นจะไม่เข้าใจความหมายของระบอบประชาธิปไตยเช่นเดียวกับตน คำถามในขั้นนี้ก็คือ แล้วมิใช่เพราะสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์” นั้นเองหรอกหรือ ที่ไม่มีทางที่จะมีความคิดอ่านต่อสิ่งๆ หนึ่งเหมือนกันได้ทั้งประเทศ (เป็นสัจจะทุนเดิม) อุดมการณ์ประชาธิปไตยจึงเปรียบได้ดั่ง “อุดมคติ” (ideology) ที่เป็นกลางและเป็นธรรมที่สุด ในการปกครองหมู่สัตว์โลกให้สามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้ (ด้วยการยอมรับและความเข้าใจ)” แน่ละว่าหากเลือกได้ ทุกคนคงอยากให้สังคมเรามีลักษณะที่เป็น Utopia อย่างปราศจากข้อสงสัย (ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นได้ คงกลายสภาพไปนานโขแล้ว) แน่ล่ะว่าถ้าหากเลือกได้ หมู่มวลมนุษย์ในประเทศแต่ละประเทศคงต้องการผู้นำ (ไม่ว่าจะในระบอบใด) ที่มีสถานะทางด้านความฉลาดเฉลียวและคุณธรรมดั่ง Philosopher King (ตามแนวคิดผู้ปกครองที่ของเพลโต) แต่ในเมื่อความเป็นจริงของมนุษย์ สังคม และการเมืองมันเป็นอย่างนี้ แล้วด้วยเหตุผลกลใดเล่า จึงมีวลีที่น่าขัดที่สุดเฉกเช่น “เผด็จการเสียงข้างมาก” หรือ “เสียงข้างมากลากไป” โผล่ขึ้นมา ณ ใจกลางจักรวาลระบอบประชาธิปไตยได้ สิ่งที่น่าท้อใจที่สุดในเรื่องประชาธิปไตยต่อสังคมไทยก็คือคนมากกลุ่มนั้นเอาแต่อ้างเรื่องอ้านราวกันแต่ในทางทฤษฎี อ้างตำราเล่มนั้นเล่มนี้ ซึ่งยางทีก็ผิดๆ ถูกๆ ไปตามเรื่อง ผู้เขียนเห็นด้วยกับนักกฎหมายอิสระอย่าง อ.วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ เป็นที่สุด ที่ให้ความเห็นไว้ว่า การเติบโตของระบอบประชาธิปไตยนั้นต้องอาศัยเวลา และที่สำคัญมันหาได้ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่บางทีเราต้องยอมเจ็บเนื้อเจ็บตัวหรือปวดใจกันบ้าง ด้วยเหตุว่าไม่มีประเทศใดในโลกใบนี้ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ทว่าสามารถผลิดอกออกผลได้ในช่วงเวลาอันสั้น แต่ประเด็นสำคัญคือใช่หรือไม่ ว่าเราต้องยอมรับความแตกต่างในทุกๆ ด้านกันให้ได้เสียก่อน (เช่นเรื่องของ อัตลักษณ์ สายพันธุ์ รากเหง้า ต้นตระกูล ความคิดอ่าน ฯลฯ) ประเด็นสำคัญคือใช่หรือไม่ ที่เราต้องเคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ (ในฐานะสัตว์โลกที่อยู่ร่วมกันในสังคม) กันให้มากกว่านี้ มิใช่เอะอะอะไร ก็กล่าวหาว่าอีกฝ่ายนั้นโง่ อีกฝ่ายนั้นไม่รู้เรื่อง (เอาดัชนีใดมาชี้วัด”) เพราะมิเช่นนั้นแล้ว ประชาธิปไตยที่มนุษย์ไทยทุกผู้ทุกนามไฝ่หาก็อาจจะกลายเป็นเพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่า หรือถ้าจะยัดเยียดให้มองในทัศนะเชิงบวกมากกว่านี้สักหน่อย ประชาธิปไตยที่ได้มา ก็คงเป็นได้มากที่สุดเพียงวาทกรรมปาหี่วาทกรรมหนึ่งเท่านั้น จะคว้าดาวดวงใดก็คว้าน้ำเหลว ถ้าจะได้ ก็คงได้เพียงเศษละอองของมันเท่านั้น ผู้เขียนขอจบด้วยคำจากท่าน ส.ศิวรักษ์ ที่กล่าวว่า “การที่ชนชั้นบนแลเห็นว่าชนชั้นล่างโง่เขลาเบาปัญญา ย่อมยากที่ชนชั้นบนจะเห็นคุณค่าของประชาธิปไตยด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น”

Source : นิตยสารปาจารยสาร ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๓ กันยายน-พฤศจิกายน ๒๕๕๕