พุทธะเฟมินิสต์ อวยพร เขื่อนแก้ว

พุทธะเฟมินิสต์ อวยพร เขื่อนแก้ว

Author : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ

7 ปีที่แล้ว อวยพร เขื่อนแก้ว หวนคืนบ้านเกิดที่แม่ริม กลับมาทำสวนและทำศูนย์อบรมโครงการผู้หญิงเพื่อสันติภาพและความยุติธรรม โดยใช้แนวทางสันติธรรม

ศูนย์อบรมบ้านดินของเธอ เปิดกว้างสำหรับคนไทยและต่างชาติที่เข้ามาอบรมในหลายประเด็น ทั้งเรื่องสตรีนิยมแนวพุทธ จิตวิญญาณแนวพุทธกับเพศวิถี ความขัดแย้งในองค์กร สันติวิธี ภาวนากับการฟังอย่างลึกซึ้ง ฯลฯ 

คอร์สอบรมของเธอเต็มจนถึงปลายปีหน้า มีผู้หญิงที่ทำงานด้านสันติภาพจากนานาประเทศมาเข้าอบรมทุกปี และเมื่อปีที่แล้วเธอเป็นปาฐกในปาฐกถาเกียรติยศของมูลนิธิโกมลคีมทอง ประจำปี 2551 ครั้งที่ 34..

นี่คือเรื่องราวบางมุมของเธอ

หากจะบอกว่า ความยากจนคือแรงผลักดันที่ทำให้คุณสนใจทำงานเพื่อสังคมจะได้ไหม 
เราเกิดมาอยู่ในชนบทที่ยากจน ถ้าเราไม่มีที่นา เวลาน้ำท่วมก็ไม่มีข้าวกิน ต้องยืมข้าวจากคนที่มีที่นา อีกอย่างคือ ครอบครัวของเราพ่อใช้ความรุนแรงตลอดเวลา พ่อมีภรรยาเยอะ เวลามีปัญหา พี่น้องคนอื่นก็จะนั่งให้พ่อตี แต่วิธีการของเราคือ เวลาพ่อจะตีก็วิ่งหนี พอเรียนจบด้วยความรู้สึกว่าเรายากจน และมีความรุนแรงในครอบครัว จึงไม่เคยคิดทำธุรกิจ

มีโอกาสเรียนหนังสือเพราะพี่ชายส่งเสีย ? 
เรียนแค่สามปีก็จบ เพราะเรียนเก่งและขยัน เมื่อเรียนจบแล้วรู้เลยว่า ต้องทำงานช่วยเหลือคนจน ทำงานอยู่ค่ายผู้อพยพชาวลาวและเขมร 2-3 ปี ตอนนั้นสอนภาษาอังกฤษได้เงินเยอะก็ส่งให้พ่อแม่ ทำให้ที่บ้านดีขึ้น จากนั้นพ่อเสียชีวิตก็กลับมาดูแลแม่ ทำงานโครงการพัฒนากลุ่มชนเผ่าชาวเขาในเชียงรายและแม่ฮ่องสอน และแต่งงานกับคนอเมริกัน ชีวิตแต่งงานทำให้ชีวิตเปลี่ยน

เปลี่ยนอย่างไรคะ
 เราอยู่ง่ายๆ แบบคนจน และแฟนชาวอเมริกันมีรายได้เยอะ แต่เรารู้สึกแปลกแยกจากชีวิตที่เราเติบโตมา อดีตสามีก็รักนะ แต่รักแบบเป็นเจ้าของ เริ่มรู้สึกสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ก็เลยตั้งคำถาม พอเลิกกับสามีก็ไปอยู่อาศรมวงศ์สนิทครึ่งปี เป็นจุดที่พลิกชีวิต ได้มาเจออาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ คุยเรื่องศาสนาพุทธและเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ 

ตอนเรียนมหาวิทยาลัย การศึกษาแบบตะวันตกทำให้เราไม่ได้สนใจเรื่องสมาธิอีก ทั้งๆ ที่อ่านหนังสือท่านพุทธทาส แม้จะเข้าใจธรรมะ แต่ตัวปฏิบัติที่ต้องอยู่กับเราตลอดไม่ได้ทำ ก็เลยสนใจสมาธิ จนได้ทำงานและเรียนรู้กับหลายกลุ่มทั้งพุทธทิเบต มหายาน และชอบสายท่านติช นัท ฮันห์ พอทำงานได้สักพัก รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ถูกผู้ชายครอบงำเยอะ จะผลักดันเรื่องผู้หญิงก็ไม่ง่าย เพราะวิธีการก็ยังชายเป็นใหญ่และอำนาจนิยมเยอะ เรารู้สึกว่าไม่ใช่ทางออก

จากนั้นกลับมาบ้านเกิด คิดว่าจะทำสวนและเริ่มทำงานสังคมที่แม่ริม ช่วงนั้นเริ่มต้นอะไรคะ
เมื่อ ปี 2545 ตั้งใจว่าจะใช้ฐานแนวพุทธในการทำงาน จากนั้นไปอบรมแนวใหม่ผ่านประสบการณ์จากอเมริกา และเรียนรู้เรื่องสตรีนิยม  ได้เห็นชัดว่า การตั้งองค์กรพัฒนาเอกชนทำงานเพื่อสังคม จะต้องมีสติไม่ตกเป็นเหยื่อของความโกรธ เราค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ได้เห็นว่า พฤติกรรมบางส่วนมาจากความโกรธพ่อ พ่อใช้ความรุนแรงต่อหน้าเรา แล้วไม่มีคำตอบให้ และผู้ชายก็ใช้อำนาจตลอดเวลา ตอนนั้นคนทำงานเรื่องผู้หญิงมีไม่มาก

เป็นคนเก่ง แต่จัดการปัญหาตัวเองไม่ได้ ? 
ทั้งๆ ที่เราไปเมืองนอกมาหลายแห่ง ได้เรียนรู้มากมาย แต่แก้ความทุกข์ไม่ได้ เราจัดการความโกรธตัวเองไม่ได้ ทั้งๆ ที่เลิกกับแฟนแล้ว ทำไมทุกข์ตรงนี้ไม่จบ เราคิดว่า เราฉลาด แต่ความฉลาดของเราไม่มีสติ ไม่ใช่ปัญญา 

ตั้งแต่นั้นมาชีวิตเราเปลี่ยน ถ้าจะมีคู่ชีวิต อยากมีคู่ชีวิตที่สนใจเรื่องจิตวิญญาณ แม้เราจะมีความรู้ แต่ความรู้แบบนี้ไม่ใช่ปัญญา อีกอย่างเราไม่สนใจเรื่องวัตถุ ความสุขของเราไม่ใช่แต่งงานแล้วไปเที่ยวเมืองนอก นั่นเป็นความสุขที่หยาบ 

เมื่อ เราเลิกกับแฟน เรามาเห็นตอนหลังว่า มีการควบคุม ไม่ว่าจะเรื่องเงิน เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ตอนที่อยู่ใกล้กันไม่คิดอะไร ตอนนั้นแฟนบอกว่า เมื่อเธอตัดสินใจเลิก ก็ไม่ต้องเอาอะไรไปสักอย่าง เราก็โกรธ ที่บอกว่ารักเราแปลว่าอะไร เราสนใจเรื่องจิตวิญญาณ แต่เขาไม่สนใจ แนวคิดไม่ตรงกันแล้ว 

จัดการกับความโกรธของตัวเองอย่างไรคะ
 ค่อยๆ เรียนรู้ สามปีที่แล้วเมื่อถึงวันครบรอบวันเกิด มักจะไปภาวนาและบอกตัวเองว่า ปีนี้จะไม่โกรธใครข้ามคืน เพราะคืนนี้อาจเป็นคืนสุดท้ายที่เรามีชีวิตอยู่ ถ้าเราคิดแบบนี้ เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ทุกๆ คืนเราจะทบทวนว่า มีอะไรค้างคาใจกับใคร ถ้าเราทำให้ใครเข้าใจผิด เราจะเคลียร์ ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ขอโทษ ทำทันทีเลย เพราะวันนี้เราอาจเดินออกไปถูกรถชนตายก็ได้ 

เราเคยเสียใจที่ไม่ได้บอกพ่อว่า เราโกรธพ่อแต่เราก็รักพ่อ การตายของพ่อและไม่ได้เจอพ่อเป็นอะไรที่ติดใจเรา กว่าจะหลุดจากความคิดนี้ต้องภาวนากว่าสิบปี ความตายจะพรากเราเมื่อไหร่ก็ได้ งานอีกส่วนเราทำเรื่องช่วยเหลือเพื่อนที่ใกล้ตาย ถ้าเราทำตรงนี้บ่อยๆ เราจะชัดมากในเรื่องชีวิตว่าอะไรสำคัญที่สุด ความโกรธเล็กนิดเดียว  เราไม่กลัวความตาย แต่กลัวตายไม่มีสติ

นอกจากการอบรมคนทำงานเพื่อสังคมในหลายเรื่อง อีกมุมหนึ่งคุณก็นำการประท้วงโดยใช้สันติวิธี ลองเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ฟังสักนิด

เราทำงานกับกลุ่มเกย์ เลสเบี้ยน กะเทยด้วย มีอยู่วันหนึ่งกลุ่มนี้และเยาวชนเดินรณรงค์ให้มีการใช้ถุงยางอนามัยเวลามี เพศสัมพันธ์ และมีเหตุการณ์กลุ่มคนเสื้อแดงไม่พอใจกับงานลักษณะนี้จึงขว้างของเข้ามา ตอนนั้นพวกเราก็นั่งภาวนาในวัด กลุ่มนี้เราฝึกพวกเขาทุกวัน เราบอกว่า ถ้าใครไม่อยากนั่งให้กลับบ้าน เราก็นั่งอยู่ตรงนั้น โดนด่าโดนขว้างของ นั่นคือการเผชิญกับความเกลียด แต่เราไม่โต้ตอบด้วยความเกลียด

แล้วเป็นอย่างไรคะ  
สองชั่วโมงกว่า ตอนนั้นก็เจรจาให้คนข้างในขอโทษ ซึ่งเป็นความคิดที่แย่มาก ตำรวจ 150 คนไม่ป้องกันพวกเรา แล้วคนข้างในก็จุดเทียนร้องห่มร้องไห้กัน นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ปีหน้าเราจะลุกขึ้นมาสอนสันติวิธี เพราะเราไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงทุกรูปแบบ สันติวิธีไม่ใช่แค่การพูดกันในห้องสัมมนาเท่านั้น เราต้องออกมาตรงถนน

ทำไมสันติวิธีใช้ไม่ได้ในสังคมไทย
ต้องแยกสอง ประเด็น คือ สันติวิธีในการปฏิบัติการ หรือสันติวิธีในการคุยเจรจาในห้องประชุม การปลุกเมล็ดพันธุ์ความเกลียดอีกฝ่ายหนึ่งที่คิดต่างจากเรา คือต้นตอความรุนแรง แล้วบอกว่าฉันดีกว่าเธอ เขานั่นแหละเลว เมื่อเราเกลียดและคิดว่า เขาแย่กว่าเรา เราดีกว่าเขา นี่คืออัตตา

การให้การศึกษาไม่จำเป็นต้องบอกว่าอีกฝ่ายเลว สันติวิธีต้องมองเรื่องจิตวิญญาณ ไม่อย่างนั้นเราจะคิดเรื่องเทคนิค ถ้าเราปลุกระดมความเกลียด ความโกรธอีกฝ่าย เราจะเห็นอีกฝ่ายเป็นมนุษย์หรือ

ลองยกกรณีการใช้สันติวิธีที่ได้ผลให้ฟังสักนิด
ตอนที่นักศึกษายุค 14 ตุลาเรียกร้องด้วยมือเปล่า นั่นเป็นสันติวิธีระดับสังคม ทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง จริงๆ เรื่องนี้มีอยู่ในสังคมตลอด แต่สื่อฯไม่สนใจเรื่องพวก นี้ มีสันติวิธีในชุมชนที่ชาวบ้านออกมาเรียกร้องไม่เห็นด้วยหลายเรื่อง อาทิ ปัญหาการทิ้งขยะในชุมชน

คอร์สที่อบรมใช้วิธีการอย่างไรเพื่อไปสู่แนวทางแก้ปัญหาสังคม
เราเป็นองค์กรที่ไม่มีเงินทุน บางทีพวกให้ทุนแล้วบอกว่า เราต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เราทำมาตั้งนานแล้ว พวกฝรั่งก็ไม่ได้รู้เรื่องจิตวิญญาณ คนที่มาเรียนเป็นคนทำงานเพื่อสังคมมีทั้งพุทธ คริสเตียน มุสลิม และฮินดู  และกลุ่มทำงานสาธารณสุข คนที่มีสติทุกลมหายใจไม่เกี่ยวกับความเป็นพุทธ  

ตอนนี้สอนทุกเดือน เดือนละสองคอร์ส บางครั้งคอร์สละสิบวัน มีคอร์สสอนไปถึงปลายปีหน้า ทั้งคนไทยและต่างชาติ งานหนักมาก เพราะคนทำงานโดยใช้ฐานจิตวิญญาณมีน้อย  

อีกอย่างคือ เอ็นจีโอที่ทำงานกับความกดขี่ตลอดเวลา คนพวกนี้ก็สะสมความโกรธ ถ้าคุณโอบอุ้มความโกรธของคุณไม่ได้ แล้วคุณจะไปโอบอุ้มความโกรธของใครได้ ถ้าคุณไม่มีฐานเรื่องจิตวิญญาณ ทำไปสักพักก็จะมีปัญหาตัวตน เรื่องชื่อเสียง เงิน ตำแหน่ง หรือไม่ก็ทะเลาะกันเอง ซึ่งฐานอันนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องศาสนาพุทธหรือศาสนาใด แต่เป็นจิตที่เบิกบาน รักเพื่อนมนุษย์และรู้จักการให้อภัย

ทำไมต้องใช้จิตวิญญาณเป็นฐานในการทำงานคะ
ต้องกลับ มาที่จิตใจ คนทำงานต้องมีความอ่อนโยนและมีเมตตา เราจะใช้สมองอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าคุยกันโดยใช้ความคิด มันไม่มีจุดที่ทำให้เรามาเจอกัน เพราะฐานความคิดมาจากความเชื่อไม่เหมือนกัน ถ้าเราพูดเรื่องความรู้สึก มันมีจุดเจอกันได้ เราไม่ได้พูดว่าอะไรถูกหรือผิด เพราะความทุกข์มันกระแทกหัวใจเราทุกคน 

ชีวิตเราผ่านประสบการณ์มาเยอะ เรามีพี่สาวติดแอลกอฮอล์ เคยทำงานกับคนมีปัญหาทั้งชนกลุ่มน้อย คนยากจน กลุ่มเกย์ คุณมาถามเลยว่า เราไม่เคยเจอปัญหาอะไรบ้าง เคยมีผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งมีปัญหา ไม่พูดกับแม่มา 20 ปี เราก็เข้าใจ เพราะเราก็ไม่พูดกับพ่อ แต่เราบอกว่า คุณจะกอดความโกรธจนตายหรือ ผู้หญิงฝรั่งคนนั้นร้องไห้ หรืออย่างผู้ติดเชื้อ พอเปิดเผยตัว แม่ไล่ออกจากบ้านก็อยากฆ่าตัวตาย เพราะในสังคมไทยไม่มีกระบวนการที่ทำให้คนเข้าใจปัญหา กระบวนการของพระที่สอนหรือ เทศน์ สวดมนต์เป็นภาษาบาลี คนไม่เข้าใจหรอก

เราเคยจัดคอร์สและทำงานช่วยเหลือชาวลาดัก เขาพูดในที่สาธารณะไม่ได้ เราก็จัดคอร์สให้ 5 วัน 10 วัน เขาบอกไม่มีเงิน เราก็เขียนโครงการให้ ถ้าไม่มีคนสอนเรื่องความขัดแย้งในองค์กร เราก็ส่งเพื่อนในเครือข่ายพุทธไปให้ แล้วก็ให้กำลังใจ เราเคยพาภิกษุณีไปดูผู้หญิงในบาร์อาโกโก้ เพื่อให้เข้าใจว่า ผู้หญิงเหล่านี้ไม่มีโอกาสเหมือนคุณ ไม่ใช่นั่งอยู่ในวัดแล้วบอกว่า ขอให้สรรพสัตว์พ้นทุกข์ ทำแบบนี้ก็ดีแต่ไม่พอ เราต้องออกไปที่ถนน 

คำสอนพุทธศาสนาเถรวาทจะสอนเรื่องการปฏิบัติจนหลุดพ้นคนเดียว ส่วนพุทธมหายานไม่ใช่ อย่างในเกาหลีบางวัด ตื่นเช้ามานักบวชต้องออกไปล้างส้วมสาธารณะที่สถานีรถไฟ หรือไปช่วยอาบน้ำให้คนขอทาน พุทธสายเซนจะปฏิบัติจากการทำงานเพื่อลดตัวตน

Source : คอลัมน์ Life Style : Society วันที่ 12 ธันวาคม 2552