เมื่อ ‘วิกฤต’ ทดสอบ ‘ผู้นำ’
มหาอุทกภัยในจังหวัดสงขลาที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ได้พัดพาไปเพียงบ้านเรือน ข้าวของ หรือวิถีชีวิตของผู้คนเท่านั้น หากยังพัดพาความเชื่อมั่นของประชาชนต่อผู้นำประเทศออกไปด้วย ความผิดหวังที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง นำมาสู่คำถามสำคัญที่สะท้อนอยู่ในใจใครหลายคนว่า “เมื่อประชาชนรวมตัวกันช่วยเหลือได้มีประสิทธิภาพกว่าภาครัฐ แล้วเราจะมีนายกฯหรือผู้นำประเทศไปเพื่ออะไร?”
คำถามนี้ดูเหมือนเรียบง่าย แต่แท้จริงแล้วสะท้อนปรากฏการณ์ทางการเมืองและสังคมที่ลึกกว่านั้นมาก — คือความคลอนแคลนของศรัทธาในโครงสร้างอำนาจ และการยืนยันอีกครั้งว่า พลังของประชาชนคือโครงสร้างที่แข็งแรงที่สุดในสังคมไทย
ภัยพิบัติ: บททดสอบที่ไม่เคยโกหกใคร
เมื่อเกิดภัยพิบัติ เราเห็นความจริงหลายอย่างที่ถูกปกปิดไว้ในยามปกติ
มันคือช่วงเวลาที่ระบบราชการถูกบีบให้เผยจุดอ่อนอย่างตรงไปตรงมา — ความเชื่องช้า ล่าช้า ขาดการประสานงาน และมักตอบสนองไม่ทันต่อความสูญเสียที่กำลังเกิดขึ้นทันทีตรงหน้า
ในขณะที่
ประชาชนรวมกลุ่มกันภายในไม่กี่ชั่วโมง
รถเรือ เครื่องอุปโภคบริโภคและกำลังคนหลั่งไหลไปสู่พื้นที่
เครือข่ายชุมชนและอาสาสมัครทำงานแบบ “ไร้ขั้นตอน” และ “ไร้ตำแหน่ง”
ประชาชนจึงตั้งคำถามว่า — ถ้าพลังแบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอ แล้วทำไมภาครัฐกลับตอบสนองช้ากว่าทุกครั้ง?
ความคาดหวังที่ไม่เท่ากับความเป็นจริงของบทบาทผู้นำ
หลายคนตั้งความหวังว่านายกรัฐมนตรีหรือผู้นำประเทศจะลงพื้นที่อย่างทันท่วงที จะมีแผนรองรับ จะมีคำสั่งเด็ดขาดที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ แต่เมื่อความจริงที่เห็นไม่สอดคล้องกับความคาดหวัง ความผิดหวังจึงสะสมกลายเป็นความโกรธ และความโกรธก็พัฒนาไปเป็น คำถามต่อความชอบธรรมของผู้นำ
แต่ในอีกด้านหนึ่ง คำถาม “เราจะมีผู้นำไปทำไม” อาจไม่ได้หมายถึงการไม่ต้องการผู้นำ
แต่อาจหมายถึงการเรียกร้อง บทบาทผู้นำในแบบที่เราเชื่อว่าประเทศควรมี — ผู้นำที่ทำงานได้จริง ไม่ใช่แค่ยืนในตำแหน่ง
เมื่อประชาชนพิสูจน์ว่า ระบบนอนราบ แต่สังคมยืนขึ้นได้ด้วยตัวเอง
ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจทุกครั้งที่เกิดวิกฤตคือ “การลุกขึ้นของภาคประชาชน”
เราพบว่าชาวบ้าน องค์กรท้องถิ่น มูลนิธิ อาสาสมัคร รวมถึงภาคธุรกิจขนาดเล็ก ล้วนเคลื่อนไหวด้วยความไว ความยืดหยุ่น และความเข้าใจพื้นที่มากกว่ารัฐส่วนกลาง
นี่ไม่ใช่แค่การแบ่งเบาภาระ แต่คือการ ทดแทน บทบาทรัฐในบางมิติ ซึ่งเป็นสัญญาณที่สังคมต้องตั้งคำถามต่อแบบแผนการบริหารจัดการประเทศในระยะยาว
ประชาชนไม่ได้ขาดผู้นำ แต่กำลังขาดความรู้สึกว่ามีผู้นำที่ไว้ใจได้
แล้วผู้นำมีไว้ทำไม?
แม้ประชาชนจะทำงานได้อย่างแข็งแกร่ง แต่ผู้นำประเทศยังมีความจำเป็นในบทบาทที่ประชาชนไม่สามารถทดแทนได้ เช่น
การออกแบบนโยบายป้องกันภัยพิบัติระยะยาว
การวางระบบบริหารจัดการน้ำทั้งประเทศ
การจัดสรรงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
การสร้างระบบการประสานงานและโลจิสติกส์ในระดับที่ภาคประชาชนไม่สามารถเข้าถึงได้
การกำหนดวิสัยทัศน์ด้านความปลอดภัยและความมั่นคง
คำถามที่ประชาชนตั้ง จึงไม่ใช่ “เราจำเป็นต้องมีผู้นำไหม?”
แต่คือ “เราจำเป็นต้องมีผู้นำแบบไหน?”
ผู้นำที่หายไปในยามวิกฤต อาจยังอยู่ในตำแหน่ง แต่ไม่อยู่ในใจประชาชน
ผู้นำที่ประชาชนต้องการไม่ใช่คนที่ สั่งการได้ แต่คือคนที่ ลงมือทำตั้งแต่ก่อนจะต้องสั่งการ
ภัยพิบัติ: โอกาสที่ผู้นำจะพิสูจน์ตัวเอง หรือถูกสังคมพิพากษา
ทุกครั้งที่เกิดอุทกภัย ไฟป่า แผ่นดินไหว หรือโรคระบาด ผู้นำทุกประเทศล้วนถูกจับตามอง
นี่คือกติกาใหม่ของสังคมโลก — ความสามารถของผู้นำในการบริหารวิกฤตคือ “คะแนนสอบ” ที่ไม่มีโอกาสแก้ตัว
มหาอุทกภัยครั้งนี้ ประชาชนทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนกลายเป็นกระจกสะท้อนว่าภาครัฐควรเร่งปรับตัวอย่างไร
ถ้าผู้นำไม่สามารถยืนเคียงข้างประชาชนในยามยากลำบาก ความชอบธรรมก็จะค่อย ๆ ถูกลบเลือนด้วยน้ำท่วมไม่กี่วัน
—
บทสรุป
คำถามที่ผุดขึ้นในสังคมไทยวันนี้ไม่ใช่คำถามของอารมณ์ แต่คือคำถามของวิสัยทัศน์
เมื่อภัยพิบัติทำให้ประชาชนพิสูจน์พลังของตัวเอง เราจึงเริ่มตั้งคำถามถึงความจำเป็นของผู้นำที่ “ทำงานไม่ทันประชาชน”
แต่ในอีกแง่หนึ่ง นี่คือ สัญญาณเตือนผู้นำประเทศทุกระดับ ว่าบทบาทของผู้นำในวันนี้ไม่ใช่การอยู่เหนือประชาชน แต่คือการทำงานให้ทัดเทียมกับพลังของประชาชน
หากผู้นำไม่ขยับ ประชาชนจะขยับแทน — และนั่น คือปรากฏการณ์ทางสังคมที่ผู้นำยุคใหม่ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
